วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

7 สิ่งที่ทำให้พนักงานบริษัท เกิดความทุกข์ (รายได้หลายช่องทาง EP13)

การเป็นพนักงานบริษัท บางครั้งก็ไม่มีความสุข นั้นเพราะ เรากำลังเป็นทุกข์ อยู่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรืออาจมีหลายๆเรื่องก็เป็นได้


ทุกข์อยู่ที่ใจ เราสามารถแก้ไขได้ที่ใจ แต่เราต้องรู้สาเหตุนั้นเสียก่อน นั้นคือ เหตุแห่งทุกข์ หรือ สมุทัย ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ในเรื่อง อริยสัจ 4

ในที่ทำงาน สิ่งที่ทำให้พนักงานบริษัท เกิดความทุกข์ มีอะไรได้บ้าง

1. ไม่พอใจหัวหน้า
2. ไม่ถูกกับเพื่อนร่วมงาน
3. รู้สึกว่าแผนกอื่นเอาเปรียบ
4. รู้สึกบริษัทไม่ใส่ใจพนักงาน
5. เบื่องานที่ทำ
6. อ่อนล้า หมดไฟ
7. ทำงานต่อไป ก็ไร้อนาคต

-----

แล้วเราควรต้องจัดการกับปัญหานี้ อย่างไร?

1. ไม่พอใจหัวหน้า
หัวหน้า หรือผู้บังคับบัญชาโดยตรง เป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลต่อเรามากๆในที่ทำงาน เพราะเขาเป็นผู้มอบหมายงาน และประเมินผลงานของเราด้วย
มีหลายสาเหตุมากๆที่ลูกน้อง ไม่พอใจหัวหน้าตัวเอง แล้วควรทำอย่างไร

-หัวหน้า แย่งผลงาน
งานจะถูกนำเสนอไปในระดับสูงขึ้น ให้คิดเสียว่า เราเก่งมีไอเดียเจ่ง หัวหน้าจึงนำงานของเราไปใช้ ส่วนหัวหน้าระดับสูงถัดไป ถ้าเขาไม่รู้วันนี้ วันต่อๆไป หลายปีต่อไป เดี๋ยวใครๆก็รู้

หรือสุดท้าย หัวหน้าของคุณเอง คนที่แย่งผลงานของคุณนี่แหละ จะเป็นผู้ส่งเสริมสนับสนุน ให้คุณก้าวหน้าต่อไป

ถ้างานของคุณมัน Work หัวหน้าและแผนกของคุณ จะได้รับผลตอบแทน
โปรด "ปิดทองหลังพระ" ต่อไป
คนเก่งๆสักวันจะฉายแสงขึ้นมาเอง แนะนำให้ส่งงานดีๆให้หัวหน้าเราต่อไป

แต่ถ้างานของคุณมัน Fail (เราคิดว่า งานนั้นดีที่สุดแล้ว แต่ใช่ว่าจะถูกเสมอ) คนที่ต้องรับผิดมากที่สุด หรือเสี่ยงมากที่สุด ก็คือหัวหน้าคุณเอง

-หัวหน้า กดดันมากเกินไป
ในการทำงาน คนที่รับแรงกดดันมากกว่าเรา ก็คือหัวหน้าเรา และถัดขึ้นไปตามลำดับขั้น เราเจอความกดดันที่ถูกกระจายลงมา แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น

เพื่อความสำเร็จ บางครั้งต้องใช้พระเดช ผลักดันให้ได้ตามเป้าหมายบริษัท ความกดดันนั้น คือเรื่องงาน ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ให้ตั้งใจทำงาน ก็เท่านั้นเอง

-หัวหน้า ลำเอียง
เรื่องนี้ ต้องขอคุยหรือคำอธิบายจากหัวหน้า คุยกันให้เคลียร์ไปเลย เราอาจคิดไปเอง หรือเรารู้เฉพาะส่วนของเรา จึงน้อยใจเพราะมีส่วนที่เราไม่รู้

-หัวหน้าขี้โมโห
อย่างนี้ต้อง feedback ตอนที่หัวหน้าอารมณ์ดี ให้รู้จักดูท่าทีตอน feedback ด้วย ให้บอกถึงประโยชน์ของบรรยากาศการทำงานที่ดี และพูดข้อดีของหัวหน้าเยอะๆก่อน(ชมก่อน) แล้วค่อยบอกเรื่องที่เขามีอารมณ์ร้าย

-----

2. ไม่ถูกกับเพื่อนร่วมงาน
การแก้ปัญหาคนไม่ถูกกัน ไม่ต้องไปสนใจถึงต้นเหตุว่าเป็นเรื่องอะไร ใครถูก ใครผิดกันแน่ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องมีการพิพากษาใดๆ

การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ ต้องใช้หลัก พรมวิหาร 4 เริ่มจากการพูดคุย ให้แต่ละคน แชร์เรื่องราว(เล่าสู่กันฟัง) งานที่กำลังทำ อุปสรรคปัญหา มีความหนักใจเรื่องอะไรบ้าง

หากเราตั้งใจฟังดีๆ เราทุกคนต่างก็มีปัญหากันทั้งนั้น การรู้จักเข้าอกเข้าใจผู้อื่น ทำให้เราลดความไม่พอใจผู้อื่น

ยิ่งถ้าเราแสดงความมีน้ำใจ กับคนที่เขาไม่ชอบเราได้ อีกไม่นาน เขาจะต้องใจอ่อน ยอมรับความเป็นมิตรของเรา

คนที่ทุกข์ คือ คนที่ไม่พอใจอีกคน
ส่วนคนที่ถูกไม่พอใจ อาจไม่รู้เรื่อง หรือ ไม่เป็นทุกข์แต่อย่างใดเลย

-----

3. รู้สึกว่าแผนกอื่นเอาเปรียบ
ส่วนใหญ่แล้ว มักเป็นการคิดไปเอง คือ คิดมากไปก็จิตตก

เราไม่เข้าใจการทำงาน ความยากลำบาก ความท้าทายงานของคนอื่น หรือของแผนกอื่น แล้วไปคิดเอาเองว่า 20:80 ตามกฏของพาเรโต Pareto Ratio

คน 20% ทำผลงาน 80% ของบริษัท แล้วทึกทักว่า ตัวเองเป็นคน 20% ที่ถูกคน 80% เอาเปรียบ

มันไม่ใช่หน้าที่ของเราเลย...
มันเป็นงานของ MD (บริษัทเล็ก) หรือ CEO (บริษัทใหญ่) เขาต้องพิจารณางานนี้ เราไม่ต้องไปกลุ้มใจกับงานของคนอื่น

-----

4. รู้สึกบริษัทไม่ใส่ใจพนักงาน
ตอนที่กำลังทำงานอยู่ในบริษัทต่างๆ ผมได้ยินพนักงานหลานคน บ่นเรื่องโน้น บ่นเรื่องนี้ อันนี้ก็ไม่ถูกต้อง อันนี้ก็ไม่เหมาะสม

แต่พอบริษัทนั้นไม่อยู่แล้ว อาจถูกปิด หรือถูกซื้อกิจการ เจ้าของใหม่มาดูแล
กลับมาหวนคิดถึงสิ่งดีๆ ที่ตัวเองเคยได้รับในภายหลัง ต่อไปคงไม่มีอีกแล้ว

ในตอนนั้น มองข้ามในสิ่งดีๆที่เราได้รับ และไม่ให้คุณค่า
จนกว่าจะเสียสิ่งนั้นไป จึงจะสำนึกได้ในภายหลัง

แต่สำหรับสิ่งที่ไม่โอเค รู้สึกไม่พอใจ กับคิดซ้ำวน จมอยู่กับความทุกข์
นั้นคือ การคิดลบ Negative Thinking

เราไม่สามารถเลือกได้ว่า ไม่ต้องไปเจอกับพวกคิดลบ แต่เราสามารถเป็น คนคิดบวกได้ Positive Thinking แล้วถ่ายทอดสิ่งดีๆ ให้คนอื่นได้ด้วย

ทุกบริษัท มีทั้งข้อดี และข้อเสีย มันอยู่ที่ว่า ความคิดของคุณ อยู่ที่ตรงไหน?

-----

5. เบื่องานที่ทำ
ทุกตำแหน่งงานมีคุณค่าของมัน เชื่อซิ คนที่เขาจ่ายเงินเดือน หรือหัวหน้าคุณเอง เห็นถึงคุณค่าในสิ่งนี้ และพวกเขาต้องการให้คุณส่งมอบงานที่ดี

ส่วนใหญ่แล้ว จะเบื่อเพราะ คิดไปเองว่างานที่ทำอยู่ทุกวันนั้นไม่มีคุณค่า

หากคุณไม่สามารถ Motivate ตัวคุณเองได้ แนะนำให้ปรึกษาหัวหน้างาน เล่าความทุกข์ หรือความน่าเบื่อให้เขาฟัง

เป็นหน้าที่ของหัวหน้างานของคุณเลย ที่จะต้องทำให้คุณอยากทำงาน ทำให้คุณเห็นคุณค่าในงานของคุณ

หรือเขาอาจเห็นโอกาส เห็นความสามารถคุณ และอาจมอบหมายงานใหม่ ที่ท้าทายกว่าเดิมให้แก่คุณ

-----

6. อ่อนล้า หมดไฟ
เหนื่อล้า ท่อแท้ หมดไฟ อยากจะ Burn out วิธีแก้ปัญหาอยากแรกเลย
" ไปนอนให้เต็มอิ่ม " ตื่นมาค่อยคิดแก้ปัญหานี้

สมองคนเรา เชื่อมโยง ร่างกาย กับ จิต
- สุขภาพจิตดี ส่งผลให้ สุขภาพกายดี
- สุขภาพจิตไม่ดี ส่งผลให้ สุขภาพกายไม่ดี
- สุขภาพกายดี ส่งผลให้ สุขภาพจิตดี
- สุขภาพกายไม่ดี ส่งผลให้ สุขภาพจิตไม่ดี
สัมพันธ์กันตลอดเวลา แยกกันไม่ออก

หากเกิดการอ่อนล้า หมดไฟ กลับมาตั้งหลักใหม่ เมื่อได้พักผ่อนทั้งสมองและร่างกาย หาหนทางปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน จัดลำดับความสำคัญ วางแผนล่วงหน้า จงเชื่อว่า ทุกปัญหาแก้ไขได้ ค่อยเป็น ค่อยไป

-----

7. ทำงานต่อไป ก็ไร้อนาคต
พนักงานที่ทำงานมานานหลายสิบปี มีโอกาสเป็นทุกข์ในเรื่องนี้สูง เพราะ

คิดแบบคณิตศาสตร์ ในบริษัทขนาดใหญ่ คนที่มีอายุงานมาก ที่ไม่ได้เป็นผู้บริหาร มีมากกว่าคนที่ถูกปูทางให้เป็นผู้บริหารหรือ CEO อยู่หลายเท่าตัว

บริษัท ยังคงเห็นความสำคัญ ถึงความสามารถและหน้าที่ของคุณ อาจจะเป็นงานที่ปรึกษา ให้ความรู้ ถ่ายทอดสอนงาน สร้างคนรุ่นใหม่ เป็นต้น

คุณค่าของคุณ มันก็เหมาะสมกับตำแหน่งและเงินเดือนที่คุณได้ นั้นแหละ
เราก็ต้องทำงานตอบแทนบริษัท ให้คุ้มค่าในสิ่งที่เราได้รับมาจากบริษัท

เราทำงานรับเงินเดือนจากบริษัทมา ต้องคำนังถึงเจ้าของบริษัท ต้องช่วยสร้างกำไร โดยการเพิ่มรายได้ เพิ่มลูกค้า ลดค้าใช้จ่าย ฯลฯ

-----

แต่สิ่งที่เราอาจเข้าใจผิด อนาคตเรา กับอนาคตบริษัท มันคนละอย่างกัน
อนาคตบริษัท อาจมีคุณเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ

ในทางตรงกันข้าม
อนาคตคุณ อาจมีรายได้จากบริษัทเป็นส่วนประกอบ
นั้นคือที่มาของ ซีรีย์ รายได้หลายชองทาง

อนาคตสำหรับคนทั่วไป
(ไม่ได้หมายถึงบริษัท ที่กำลังจะผ่านยุค Disruptive Technology)

ความพยายามหารายได้ใหม่จากช่องทางอื่น สำคัญน้อยกว่า
ความพยายามรักษารายได้หรือเพิ่มรายได้จากช่องทางเดิม

ถ้าเรามั่นใจว่า เรารักษารายได้จากช่องทางเดิม ไว้ได้ดีพอสมควรแล้ว
ต่อไปก็พยายามหารายได้เพิ่มจากช่องทางอื่น นั้นคือ อนาคตของคุณ

โปรดติดตาม รายได้หลายช่องทางใน EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ลด Single-use plastic (ใจเกษตร EP6)

การรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นหน้าที่ของพลเมืองของโลก
ที่ผ่านมา ธรรมชาติได้ส่งสัญญาณเตือนว่า "เธอทำกับโลกเกินไปแล้วนะ"


- อากาศแห็ง/ร้อนขึ้น เกิด PM2.5 บ่อยขึ้น
- น้ำท่วมใหญ่
- ไฟป่า
- แผ่นดินไหว
- น้ำแข็งขั่วโลกเหนือละลาย
- ฟ้าฝน ตกผิดฤดูกาล

เราทุกคนช่วยกันดูแลปกป้องโลกได้หลายวิธี เช่น
1. ประหยัดพลังงาน หรือเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียน
2. ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
3. ปลูกต้นไม้เยอะๆ เพิ่มพื้นที่ป่า

-----

และการลดการใช้ถุงพลาสติก หรือ Single-use plastic เป็นอีกวิธีหนึ่ง
เพราะ ขยะพลาสติก คุกคามระบบนิเวศ์ ไม่ว่าจะเป็น พื้นที่ทิ้งขยะ การเผาขยะ เดือดร้อนไปจนถึง ชายหาด และทะเล

สถิติ คนกรุงเทพ 1 คนใช้ถุงพลาสติก 8 ใบ/วัน ดูไม่เยอะเลยใช่มั้ยครับ
คนไทยทั้งประเทศ ใช้ถุงพลาสติก 5,300 ตัน/วัน
พอเราใช้ถุงพลาสติกกันหลายๆคน ระบบนิเวศน์ของเราน่าเป็นห่วง

ผมและครอบครัว ลดการใช้ถุงพลาสติกอย่างจริงจัง ได้เกิน 2 เดือนแล้ว
และจะทำต่อไป (ปรกติ ก็พยายามใช้น้อยๆ อยู่แล้ว)

บางครั้ง ยืนนิ่งอยู่หน้าร้านอยู่นานนน (แม่ค้า งง จะซื้ออะไร คิดนานจัง)
ที่กำลังคิดคือ หาทางไม่รับถุงพลาสติก หรือ ไม่ต้องซื้อมันเลย

-----

ผมฟัง Podcast คุณรวิศ หาญอุตสาหะ Mission to the moon ถามคุณฝ้าย กุลวัลย์ สุพีสุนทร ที่ปรึกษา ด้าน Sustainability and Climate Change

คุณรวิศ: คนธรรมดาอย่างเราๆนี่ ลดการใช้พลาสติก ก็คงช่วยโลกได้ระดับหนึ่ง คุณฝ้าย มีข้อแนะนำอะไรเพิ่มเติม ?

คุณฝ้าย: เราก็แชร์ แชร์ในสิ่งที่เราทำ อาจมีผู้คนที่เห็นด้วย สัก 1 ใน 100 ที่รับรู้การแชร์ แล้วเปลี่ยนมาช่วยกันลดการใช้ถุงพลาสติกด้วย เราก็จะมีคนช่วยโลกเพิ่มอีก 1 คน

ไอเดียนี้ โดนอ่ะ ผมชอบมากเลย

จึงขอให้ท่านผู้อ่าน ที่ลดการใช้ถุงพลาสติกอยู่แล้ว หรือกำลังคิดจะลดการใช้
ไม่ใช่แค่ พยายามลดการใช้ถุงพลาสติกเท่านั้น แต่ขอให้ช่วยกันแชร์ แชร์วิธีการลดการใช้ถุงพลาสติกของคุณ

แชร์ไอเดีย แชร์ในสิ่งที่คุณทำ แชร์การดูแลปกป้องโลก อื่นๆ เช่น การประหยัดพลังงาน การลดการปล่อยก๊าซ การปลูกต้นไม้ ฯลฯ
เพื่อให้เกิดการช่วยโลกเพิ่มขึ้น แบบทวีคูณ

การใช้ถุงพลาสติกที่ผม และครอบครัว ทำอยู่ในทุกวันนี้
1. พกถุงผ้าไปร้านค้า หรือไปซุปเปอร์มาเก็ต


2. พกกล่องพลาสติก และถุงผ้า ไปที่ทำงาน


3. พกปิ่นโต ติดรถประจำ วันไหนที่กินข้าวนอกบ้าน แล้วกินไม่หมด จะได้ห่อปินโตกลับไปอุ่นที่บ้านกินวันหลัง


4. ดื่มน้ำ(น้ำส้มคั้น) ที่ร้าน ดื่มให้เสร็จเลย ไม่ต้องใส่แก้วพลาสติก หรือจะพกแก้ว YETI แทนก็ได้


5. กินผลไม้ใช้จานที่ร้าน เช่นกัน ทานให้เสร็จเลย ไม่ต้องใส่ถุงพลาสติก หรือจะพกกล่องพลาสติก(ตามข้อ 2) แทนก็ได้
(ตอนนี้ ไม้ไผ่จิ้มก็ไม่รับ ผมใช้ส้อมแทน)


และสุดท้าย ขอแชร์วิธีลดการใช้ถุงพลาสติก ในซีรีย์ ใจเกษตร EP นี้

สนใจการทำเกษตรและสิ่งแวดล้อม โปรดติดตาม ใจเกษตร EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

Power of Connection (รายได้หลายช่องทาง EP12)

การได้รับโอกาสดีๆบ่อยครั้ง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะ มีหลายคนที่รู้จักเรา เห็นเรามีความสามารถ หรือเห็นคุณค่าของเรา เขาจึงเสนอโอกาสดีๆให้แก่เรา นั้นคือ พลังแห่งสายสัมพันธ์


EP ก่อนหน้านี้ พูดถึง 5 เป้าหมายในการทำงานช่วงแรก
1 ในนั้นคือ Connection ซึ่งสำคัญมากในชีวิตการทำงาน

ถ้าเราเป็นคนที่มีความสามารถ เป็นคนเก่ง ขยัน อดทน สู้งาน
แต่เราไม่รู้จักใครเลย สิ่งดีๆที่มีอยู่ในตัวเรา ก็ยากที่จะได้แสดงออกมา

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องมีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันอยู่แล้ว แต่การรู้จักใช้สิ่งนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เราจะต้องตระหนักถึงคุณค่าสิ่งนี้

คนที่เรารู้จัก ในที่ทำงาน เช่น ลูกค้า หัวหน้า เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง คู่ค้า เป็นต้น หรือรู้จักมาจากการเข้าสังคมของเราเอง เช่น ออกกำลังกาย งานอดิเรก งานช่วยเหลือสังคม งานกิจกรรมต่างๆ

พวกเขามีโอกาสสร้างประโยชน์ให้เรา ได้หลายอย่าง เช่น

1. เสนอโอกาสดีๆ ให้แก่เรา
2. แนะนำบอกต่อกับอีกคนที่เราต้องการ
3. แลกเปลี่ยนความรู้ หรือเป็นที่ปรึกษา
4. ร่วมกันทำงานเป็นทีม ซึ่งเป็นงานที่เราทำคนเดียวไม่ได้
5. ช่วยแก้ไขปัญหา ลดอุปสรรคต่างๆ

ยกตัวอย่างจริง 3 กรณี
กรณีแรก ชีวิตการเป็นพนักงานบริษัทของผมเอง
2 บริษัทแรกหลังจากเรียนจบ ยังไม่รู้จักใครเลย ผมสมัครงานด้วยการยื่นใบสมัครผ่าน HR (ฝ่ายบุคคล) แบบปรกติ

แต่อีก 5 บริษัทหลังจากนั้น ตลอดชีวิตการทำงานกว่า 20 ปี จนถึงปัจจุบัน
ผมได้รับโอกาสเข้าทำงาน เพราะมีคนรู้จักแนะนำ (ไม่ได้ยื่นใบสมัคร หรือ CV ผ่าน HR ก่อนเลย)
โทรนัด แล้วสัมภาษณ์เสร็จ ค่อยส่งเรื่องไป HR ทีหลัง

Connection ของผมมีทั้ง อดีตเพื่อนร่วมงานบริษัทเก่า เพื่อนสมัยเรียนวิศวะ อดีตหัวหน้า(ผู้บังคับบัญชา) ที่เป็นผู้แนะนำตำแหน่งงานให้ผม

กรณีที่ 2 คนรู้จักที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจ
เขาเริ่มต้นด้วยการเป็น Sale ในบริษัทที่ทำธุรกิจแบบ B-to-B (ฺBusiness to Business) ขายสินค้าและบริการให้ลูกค้าองค์กร

จากประสบการณ์ที่เป็น Sale เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เขาลาออกมาตั้งบริษัทของตัวเอง ขายสินค้าและบริการให้ลูกค้าองค์กร เช่นกัน

เขาไม่ได้เริ่มจากศูยน์ แต่เขามี Connection ลูกค้าเดิมอยู่แล้ว และมี Connection กับผู้ผลิตสินค้า สามารถขอเครดิตแบบ back to back กับสัญญาซื้อของลูกค้าได้ คือ เมื่อลูกค้าชำระเงินมาแล้ว เขาก็หักส่วนกำไรไว้ก่อน แล้วจึงนำต้นทุนไปชำระให้ผู้ผลิตสินค้าต่อไป

เห็นหรือยังครับว่า พอมีความรู้ และมี Connection ก็สามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้ โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุน

กรณีที่ 3 ความร่วมมือระหว่าง 2 บริษัทใหญ่
หลายคนในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง พยายามเข้าไปทำงานร่วมกับบริษัทของรัฐ (รัฐวิสาหกิจ) ต้องเจออุปสรรคมากมาย งานไม่มีความคืบหน้า

แต่มีบางคน(Someone) ที่รู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่ ช่วยประสานทำความเข้าใจกัน พอไม่นาน งานก็ราบรื่น มีความร่วมมือ และงานก็สำเร็จได้ตามเป้าหมาย

เราไม่รู้หรอกว่า อนาคตจะมีใครมาช่วยเราได้
แต่ถ้ามีโอกาสที่ เราสามารถช่วยเหลือคนที่เรารู้จักได้ ก็ให้ช่วยอย่างเต็มที่ ไม่ใช่ช่วยเพื่อหวังให้เขาต้องมาตอบแทนอะไรให้เรา แต่เป็นการเสริมความแข็งแกร่งสายสัมพันธ์ในพวกพ้องของเรา

ในอนาคต เราอาจเป็นที่พึ่ง หรือเขาอาจเป็นที่พึ่ง หรือพึ่งพากันและกัน
ให้รู้จักรักษาสายสัมพันธ์ที่ดีไว้ สักวันมันจะจำเป็นสำหรับเรา

โปรดติดตาม รายได้หลายช่องทางใน EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

Mobile App เลือดสาด หรือ ตลาดใหม่ (Disruptive EP5)

McKinsey คาดการณ์ว่า ในปี คศ. 2025 Mobile Internet จะเป็น Disruptive technology ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงที่สุด


Mobile Internet คงไม่ใช่แค่ ธุรกิจผู้ให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์มือ 3G, 4G หรือ 5G แต่รวมถึงธุรกิจขนาดใหญ่ระดับโลก อื่นๆ เช่น
 - ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือ เช่น Apple, Sumsung, Huawei, OPPO
    (ผลิตทั้ง มือถือ แท็บเล็ต Wearable และบริการต่างๆ)
 - ผู้ให้บริการ Mobile App ซึ่งจะมี Platform และอาจจะมี Content ด้วย
    (มีสมาชิกเป็นพันล้านคน เป็นกลุ่มที่ร่ำรวยที่สุด)
 - และยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้อง Mobile Internet อีกมากมาย เช่น IoT, VR, AR

Mobile App คือ Application Service บน Mobile Internet มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงมากๆ ดังตัวอย่างที่เห็น Amazon, Google, Facebook, Tencent, Twitter, YouTube, Netflix, Alibaba, Lazada และอีกมากมาย

ผู้ให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์ 3G & 4G ของไทยในปัจจุบัน เช่น AIS และ True ลงทุนค่าประมูลคลื่นความถี่ หลายแสนล้านบาท (รวมทุกคลื่นความถี่) แล้วยังต้องลงทุนค่าก่อสร้างและค่าดูแลโครงข่ายอีกเป็นแสนล้านบาท

แต่ยังไม่ถึงจุดคุ้มทุนดีนัก ก็มีเทคโนโลยีใหม่ (5G) มาให้เลงทุนเพิ่มอีก
(2G อยู่ได้นานเป็น 10ปี แต่ 3G & 4G อยู่ได้ไม่ถึง 5ปี ก็มีเทคโนโลยีใหม่)

แต่ที่แสนเจ็บปวดมากกว่า แทนที่จะมีรายได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย จากผู้ใช้บริการโทรศัพท์ 3G & 4G
ยังต้องมาแบ่งรายได้ต่างๆ ให้ผู้ให้บริการ Content และ Mobile App ที่ข้ามโลกมาจากไหนก็ไม่รู้ (ไม่ต้องลงทุนโครงข่ายและค่าคลื่นเลย)

ผู้ให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์ 3G & 4G มีรายได้จาก ค่าโทร และค่าแพ็คเกจอินเตอร์เน็ต เท่านั้น

ส่วนผู้ให้บริการ Content และ Mobile App ใช้ช่องทางอินเตอร์เน็ตผ่านโครงข่ายไปหลายๆประเทศ แย้งค่าโฆษณาจากทีวี ได้ค่าสับตะไคร้ (Subscribe) ค่าติกเกอร์ และค่าบริการต่างๆ ฯลฯ

นักลงทุนทั่วโลก เมื่อเห็นความร่ำรวยของ Amazon, Google, Facebook, Tencent จึงเกิดกระแส "เฮตามกันไปลงทุน" เพื่อจะได้เป็นผู้ให้บริการ Content และ Mobile App ที่ร่ำรวย เช่นกัน

หากจะแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ อาจแบ่งได้ 3 กลุ่ม

1. ผู้ให้บริการเดิม เจ้าของสมาชิกผู้ให้บริการเป็นพันล้านสับตะไคร้ ทั่วโลก เช่น Facebook, Google, Tencent, LINE
(พวกเขาพยายามรักษารายได้ และฐานลูกค้าเดิม และพยายามสร้างบริการใหม่ๆตลอดเวลา ด้วย Big Data และเทคโนโลยีที่เหนือกว่า)

2. Telecom Operators เช่น Softbank จากประเทศญี่ปุ่น ที่กระจายการลงทุนด้านนี้ไปทั่วโลก
ส่วนในประเทศไทยเอง ก็มีทั้ง AIS และทรู ที่ลงทุนในด้านนี้
(AIS ประกาศว่า Digital Platform จะเป็นแหล่งรายได้แห่งใหม่ ที่จะมาแทนที่ค่าบริการโครงข่ายในปัจจุบัน)

3. Startup, ธุรกิจจากอุตสาหกรรมอื่น ทั้งระดับ Global ระดับ Local ในประเทศ มีทั้งรายใหญ่ร ายเล็กทั่วโลก ซึ่งมีเงินลงทุน พร้อมอย่างเหลือเฟือ
(แม้กระทั้งธนาคาร สถาบันการเงินที่เคยมีรายได้จากดอกเบี้ยในการปล่อยกู้ และค่าบริการทางด้านการเงินมาอย่างยาวนาน ยังต้องพยายามหาธุรกิจอื่น ที่จะเป็นรายได้แห่งใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ลงทุนใน Mobile App)

มันคือ ตลาดของการแข่งขันอย่างรุนแรง "เลือดสาด Red Ocean"
เพราะมันไม่ง่ายแบบ 10 หรือ 20 ปีก่อนหน้านี้ ที่โลกยังไม่รู้จัก Social Media, Online Shopping, VDO streaming, Food delivery, ...
การ Subsidized แย่งฐานลูกค้า การลด แลก แจกแถม เพื่อทำลายคู่แข่ง

หรือ Mobile App จะเป็นโอกาส สร้างบริการใหม่ที่ยังไม่มีในโลก เกิดเป็น "ตลาดใหม่ Blue Ocean"
เพราะเทคโนโลยี ทำให้ต้นทุนถูกลง สินค้าและบริการ มีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น คุณภาพก็ดีขึ้น (ถูก เร็ว ดี) จึงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคในยุคใหม่ แล้วจะเป็นแหล่งรายได้(ขุมทอง) แห่งใหม่ อย่างที่ทุกคนวางเป้าหมายไว้

คงต้องดูยาาวๆ โปรดติดตาม Disruptive EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

เป้าหมาย 5 ปีแรกของการทำงาน (รายได้หลายช่องทาง EP11)

เกือบทุกคน ตั้งเป้าหมายอันดับแรก ในการเริ่มต้นชีวิตการทำงาน คือ มีรายได้หรือมีเงินเดือนสูงๆ บางคนไม่สนใจด้วยซ้ำว่า บริษัทจ้างให้ทำอะไร


คนส่วนใหญ่เริ่มทำงาน ด้วยการเป็นพนักงานบริษัท มีทั้งแบบพนักงานประจำ แบบ Contract(สัญญาจ้าง) หรือบางคนก็เป็น Freelance ทำงานอิสระ

เป้าหมาย 5 ปีแรกของการทำงาน EP นี้ ปรับใช้งานได้กับทุกลักษณะงาน

โดยอยากให้ค้นหาตัวเอง
เน้นการพัฒนาทักษะ ความสามารถของตัวเอง และเพิ่มประสบการณ์ทำงาน

เมื่อเราโตขึ้น เป็นระดับ Senior ที่เต็มไปด้วยความสามารถในสายอาชีพนั้นๆ
อัตราเร่งของความก้าวหน้า ในตำแหน่งหน้าที่ และรายได้ จะไปได้เร็วกว่า และจะแซงคนที่เน้นแต่รายได้อย่างเดียวในช่วงเริ่มต้น (ฝีมือเท่าเดิม)

คนในช่วงวัย พึ่งเรียนจบแล้วเริ่มต้นทำงาน
1. อายุน้อย ปรับตัว เรียนรู้ ได้ง่ายกว่า (รุ่นพี่ก็อยากสอนงาน)
2. มีภาระน้อย แบ่งเวลาอบรมเพิ่มเติม ได้มากกว่า
3. หากทำอะไรผิดพลาดไป จะแก้ไข ได้ง่ายกว่า
จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุด ที่จะพัฒนาตัวเอง

-----

1) ประสบการณ์ทำงาน Work Experience
ชำนาญในงานที่ใช่ put the right man on the right job คำนี้จริงเสมอ

หากเป็นไปได้ ให้เลือกงานที่ชอบ งานที่ถนัด และงานที่ตลาดต้องการ
เมื่อเลือกได้แล้ว จงทำงานให้สำเร็จ สร้างผลงานให้เป็นที่ประจักร
สร้างการยอมรับจากทีมงานและหัวหน้า ว่าเราเป็นบุคคลสำคัญในผลงานนี้

2) Functional Skill (หรือ Hard Skill)
เป็นทักษะโดยตรงกับวิชาชีพที่เราใช้ทำงาน ในแต่ละงาน / แต่ละตำแหน่งต้องการทักษะที่แตกต่างกัน และมีหลากหลายทักษะ จงใช้โอกาสที่ได้ทำงาน เรียนรู้พัฒนาทักษะตัวเองไปด้วย Learning by doing

ประเมินทั้งผลงงาน ประเมินทั้งความสามารถตัวเองว่า
- ทักษะอะไรที่เราควรเสริมให้เป็นเลิศ (เพิ่มจุดแข็ง)
- ทักษะอะไรที่เราด้อย ควรต้องเรียนรู้ ฝึกฝนให้เป็นงาน (แก้ไขจุดอ่อน)

3) Connections
ความสัมพันธ์ เกิดจากโอกาสที่ได้ทำงานร่วมกัน หรือส่งมอบผลงานให้แก่ลูกค้า ผู้คนจะจดจำเราได้ดี ถ้าเราทำงานดี ผลงานดี และมนุษย์สัมพันธ์ดี

Connection มีหลายมิติ (ด้าน) ต่างก็สำคัญแตกต่างกันไป
- ลูกค้า เขาจะจดจำเราได้ดี ถ้าผลงานของเราเป็นที่น่าพอใจ
- หัวหน้า หรือผู้บริหาร เขาจะส่งเสริมหน้าที่การงานให้แก่เรา
- เพื่อนร่วมงาน โลกมันกลม เราต้องมีโอกาสได้ช่วยเหลือกันและกัน
- ลูกน้อง งานใหญ่ต้องทำงานกันเป็นทีม หากเราได้คนเก่งอยู่ในทีม งานจะสำเร็จได้โดยง่าย
- ที่ปรึกษา หรือบริษัทคู่ค้า อย่าทำตัวเป็นคนโลกแคบ ให้รู้จักคบหาคนนอกบริษัท ยิ่งถ้ามีโอกาสได้รู้จักคนเก่งๆจะดีสำหรับเรา (รู้จักคบบัญฑิต)
เพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้ หรืออาจได้ร่วมงานกันในวันข้างหน้า ฯลฯ

4) Soft Skill, Management Skill, Digital Skill & Other Skill
คงเคยได้ยิน อย่าเก่งแต่ทำงาน ต้องเก่งเรื่องบริหารคน และเก่งบริหารจัดการด้วย ไม่ว่าหัวหน้า ลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน เราต้องมีทักษะการทำงานร่วมกัน และมีทักษะการบริหารจัดการกระบวนการทำงานให้สำเร็จ

Soft Skill มักไม่ค่อยมีสอนในสถาบันการศึกษา การได้ทำงานกับคนหลายๆคน คือโอกาสที่จะได้เรียนรู้ ประเมินทักษะนี้ เช่น การประเมิน 360 จะทำให้เรารู้ว่า เราควรปรับปรุงทักษะอะไร

5. Saving & Investment
ทำงานแล้วต้องมีรายได้ ถ้ารู้จักออมก่อนใช้ตั้งแต่เริ่มทำงาน จะดีมากๆ
ไม่ต้องกังวลว่า เป็นจำนวนเงินน้อยหรือมาก ตั้งเป้าที่ % ของรายได้

แล้วค่อยๆเรียนรู้เรื่องการลงทุน อย่างน้อยต้องเข้าใจ ในสิ่งที่เราจะลงทุน
- เสี่ยงมาก ผลตอบแทนมาก, เสี่ยงน้อย ผลตอบแทนน้อย
- สภาพคล่องของสินทรัพย์นั้นๆ
- ทิศทางที่เกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจ

-----

ถ้าอยากมีประสบการณ์หลากหลาย จะต้องกล้าเปลี่ยนงานบ่อยๆ แต่ก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนงาน ขอให้พิจารณา
- สร้างผลงาน ให้แก่บริษัทเดิมให้ได้ก่อน
- ควรได้การตอบรับเข้าทำงาน จากบริษัทใหม่ก่อน
- แม้จะเป็นโอกาสได้เพิ่มประสบการณ์ แต่ถ้าได้เพิ่มฐานเงินเดือนด้วย จะดีมากๆ
ดังนั้น ถ้าเรามีความสามารถจริง ให้ฝึกเพิ่มความมั่นใจ และฝึกการเจรจาต่อรองเงินเดือน

ท้ายที่สุด ขอให้คิดเสียว่า
งาน คือการเรียนรู้ที่มีรายได้ ดีกว่า เรียนมหาลัยที่ต้องจ่ายค่าเทอม
สิ่งที่มีค่ามากที่สุด นั้นคือ เวลาและโอกาสที่เราใช้ไป (จงใช้ให้คุ้มค่า)

โปรดติดตาม รายได้หลายช่องทางใน EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

ปลูกผักแบบไฮโดรออแกนิค อย่างไร (ใจเกษตร EP5)

ใจเกษตร EP ก่อนนั้น พูดถึง ทำไมต้องปลูกผักแบบไฮโดรออแกนิค มีข้อดีอย่างไร คราวนี้เรามาดูกันว่า เราจะปลูกอย่างไร


ไฮโดรออแกนิค มีหัวใจสำคัญ 2 อย่างคือ
1. การทำบ่อหมักปุ๋ยอินทรีย์
2. สูตรปุ๋ยหมักอินทรีย์

คร่าวๆ การปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ คือ มีถังผสมปุ๋ย AB แล้วปัมป์น้ำจากถัง ขึ้นไปที่รางปลูกด้านสูง แล้วปล่อยน้ำให้ไหลผ่านรางปลูก (มาด้านต่ำ) แล้วปล่อยน้ำ ให้วนกลับมาที่ถัง เช่นเดิม

ผักที่ปลูก จะเพาะด้วยถาดโฟม หรือกระถางใส่ "เพอร์ไลต์" เป็นหินภูเขาไฟที่ถูกเผาจนขยายตัวทำให้มีคุณสมบัติเบาและอุ้มน้ำ

การเพาะใช้เวลา 2 สัปดาห์ ช่วงนี้ต้องสร้างความชุ่มชืื้นตลอด ด้วยการพ่นด้วยน้ำเปล่า สลับพ่นด้วยน้ำผสมปุ๋ย AB (หรือปุ๋ยปลาหมัก ถ้าเป็นออแกนิค)

ใช้เวลาปลูกในรางอีก 4 สัปดาห์ (รวม 6 สัปดาห์) ผักก็โตพร้อมรับประทาน

-----

ปลูกแบบไฮโดรออแกนิค ต้องเปลี่ยนเป็นถังที่ใบใหญ่กว่า เนื่องจากการหมักปุ๋ยอินทรย์ใช้พื้นที่มากกว่าปุ่ญเคมี

เพิ่มอีก 1 ถังใบเล็ก เป็นถังหมักปุ๋ยฯ ให้ใส่เข้าไปในถังใหญ่ได้พอดี
แต่เพื่อความแข็งแรง ควรใช้ถังพลาสติกเจาะรู (แทนตระกล้า)
- เจาะรูใหญ่ เชื่อมกับท่อ เพื่อส่งน้ำปุ๋ยขึ้นไป(ท่อเพื่อสอดสายยางปั้มส่งน้ำ)
- เจาะรูเล็ก รอบถังด้านข้างทั้ง 4 ด้านและด้านล่าง เพื่อปล่อยน้ำหมักในถังใบเล็ก ไหลไปถังใหญ่ ที่มีปั้มน้ำ

เท "เม็ดดินเผา" เกือบเต็มถังใบเล็ก จากนั้นเติมน้ำที่ผสมปุ๋ยหมักอินทรีย์แล้วลงไป โดยเติมให้เกือบเต็มเม็ดดินเผา แต่ไม่ให้น้ำท่วมเม็ดดินเผา

ประโยชน์ของเม็ดดินเผา clay pebbles คือ
1. เป็นที่อยู่ของจุลินทรีย์ที่ย่อยอินทรีย์วัตถุให้เป็นธาตุอาหารที่พืชต้องการ
2. จากข้อแรกจะคล้ายกับ Bio Ball ของเครื่องกรองน้ำเลี้ยงปลา แต่เม็ดดินเผาดีกว่า ตรงที่ช่วยรักษาความเย็นของน้ำปุ๋ยที่พืชชอบ

น้ำที่ผสมปุ๋ยหมักอินทรีย์ จะใช้ปุ๋ย 2 หรือ 3 อย่างก็ได้ สัดส่วนปริมาณปุ๋ยในการผสมน้ำ ให้อ่านคำแนะนำที่ข้างขวด (คำแนะนำจากผู้ขายปุ๋ย) เพราะแต่ละยี่ห้ออาจทำปุ๋ยสูตรความเข้มข้นต่างกัน

สูตรปุ๋ยหมักอินทรีย์ ของอาจารย์สัมพันธ์ เพื่อนเกษตรเฟรชวิลล์ฟาร์ม คือ
1. ปุ๋ยหมักปลา
2. ปุ๋ยน้ำหมักขี้ไส้เดือน
3. หรือปุ๋ยน้ําหมักชีวภาพต่างๆ เช่น ปุ๋ยหมักเปลือกกล้วย (banana peel)

และส่วนผสมที่สำคัญ เพิ่มเติม คือ
4. จุลินทรีย์ช่วยหมักปุ๋ย ซื้อจาก Lazada หรือของกรมพัฒนาที่ดิน (พด.)
5. อะมิโนโปรตีน ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืช

เพิ่มเติม เพื่อไม่ให้แสดแดดส่องใส่ถังหมักปุ๋ย อาจารย์แนะนำให้ปลูกพืช เช่น มะเขือเทศ พริก หรือโหระพา ลงในถังหมักเลย เพื่อช่วยบังแดด

สนใจเรื่องการทำเกษตร โปรดติดตาม ใจเกษตร EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

เป็นเศรษฐี ด้วยรายได้จากเงินสี่ด้าน (รายได้หลายช่องทาง EP10)

สัปดาห์ก่อน ระหว่างผมขับรถไปใจเกษตรฟาร์ม (กทม.-กาญจน์) ได้ฟัง Podcast, Mission to the Moon ของคุณรวิศ หาญอุตสาหะ


พูดถึงงานวิจัยเรื่อง Rich Habit Study ของ Tom Corley โดยมีการสัมภาษณ์เศรษฐี 223 คน และคนฐานะธรรมดา 128 คน

ผมจับใจความแล้ว มัน Match เข้ากับ เงินสี่ด้านในแบบของผม ได้ใกล้เคียง
จึงขอกลับมาเล่าเรื่อง "เงินสี่ด้าน" เพิ่มอีก 1 EP (ผมเล่าไปแล้ว 3 EP)

ในมุมของผม คนทั่วไปอย่างเราๆท่านๆ สามารถมีรายได้หลายช่องทางในเวลาเดียวกัน เพื่อความมั่นคงในการใช้ชีวิตได้อย่างผาสุข ไม่ได้อยากจะเป็นเศรษฐี อะไรมากมาย จึงเกิดเป็นซีรีย์ รายได้หลายช่องทางนี้

แต่ในมุมของ Tom Corley พูดถึงช่องทางที่ทำให้คนทั่วไป กลายมาเป็นเศรษฐี พวกเขามีรายได้จาก ช่องทางอะไรกันบ้าง และทำได้อย่างไร

ขอทำความเข้าใจก่อน นิยามของคำว่า "เศรษฐี" คือใคร
เศรษฐี ( Millionaire ) คือ ผู้ที่มีทรัพย์สินเงินทองมากกว่า 1 ล้าน USD หรือคิดเป็นเงินไทย คือมากกว่า 30 ล้านบาท

ตอนนี้ประเทศไทย มีเศรษฐีที่มีเงินมากกว่า 30 ล้านบาท อยู่ 64,000 คน
และจะมีเศรษฐีเพิ่มขึ้นเป็น 82,000 คน ในปี คศ. 2023

แล้วเศรษฐีจากช่องทางรายได้ต่างๆ (เรียงตาม เงินสี่ด้าน) นั้นเป็นอย่างไร

-----

E: Employee = ผู้บริหาร ซึ่งพวกเขาก็คือ ลูกจ้างมืออาชีพ นี่เอง

เจ้าของธุรกิจ จะจ้างคนที่เก่งกว่าเพื่อให้มาช่วยดูแลธุรกิจของเขา แน่นอนถ้าจะจ้างใครมาเป็นผู้บริหาร จะต้องเลือกคนเก่งมากและขยันเอามากๆด้วย
บ้างก็เคยมีผลงานชัดเจน บ้างก็มีเป็นคนที่มีเครดิตดีมาก

ตำแหน่งส่วนใหญ่ก็เป็น CEO, CFO หรือ COO เป็นต้น

แม้หนทางจะเป็นเศรษฐีแนวทางนี้ ทำได้ยากกว่าแบบออมและลงทุน แต่มีความเป็นไปได้สูงถึง 31% (กลุ่มใหญ่ที่สุด) ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

บริษัทขนาดใหญ่จ้าง CEO ด้วยเงินเดือนที่สูงกว่าพนักงานระดับล่างถึง 60 เท่า (สมมุติระดับล่าง 10,000 บาท -> CEO = 600,000 บาท)

ไม่ใช่แค่เงินเดือน พวกเขาอาจมีโบนัส หรือมี Stock Option เพิ่มให้อีก กรณีที่พวกเขานำพาบริษัทจนทำกำไรได้สูงๆ

ผู้บริหารบางคนรู้ข้อมูล Insider แค่ซื้อหุ้นล่วงหน้า ก็ทำกำไรได้อย่างมหาศาลจากดีลเดียว (ตัวอย่างนี้ ไม่มีธรรมาภิบาล และกลต.มีลงโทษปรับ)

แม้คนกลุ่มนี้จะเก่งมากๆ หรือขยันมากๆ (มีพลังชีวิตสูง) แต่ถ้าบริษัทที่เขาบริหารไม่ทำกำไรด้วยเหตุอื่น ก็ไม่มีโอกาสเป็นเศรษฐีจากการเป็นผู้บริหารนี้

-----

S: Self Employed = อัจฉริยะ ชื่อก็บอกว่า ต้องเป็นอัจฉริยะ

ทุกสายอาชีพ จะต้องมีอัจฉริยะ เช่น นักร้อง นักแสดง ศิลปินต่างๆ นักดนตรี นักวาดรูป สถาปนิก นักออกแบบต่างๆ นักกีฬา นักเขียน ยูทูปเบอร์ ฯลฯ

(ซ้ำ) ชื่อก็บอก คนที่เป็นอัจฉริยะมีได้แค่ 1 ในล้าน, 1 ในแสน, หรือ 1 ในหมื่นคน ดังนั้น ถ้าที่รวยด้วยแนวทางนี้ มีความเป็นไปได้แค่ 19% (ต่ำที่สุด)

พรสวรรค์ มักมาจากพรแสวง จู่ๆเป็นอัจฉริยะขึ้นมาเองไม่มี แต่เกิดจากการฝึกฝนวันแล้ววันเล่า ไม่ใช่แค่รักในสิ่งที่ทำ ต้องเรียกว่า บ้าสุดๆในสิ่งนั้นเลย

-----

B: Business Owner = นักล่าฝัน เศรษฐีกลุ่มนี้ทำงานหนักที่สุด

บางคนทำงานหนักมาก แต่ก็ไม่มีโชค แต่ด้วยนิสัยความเป็นนักสู้ นักล่าฝัน เสพติดหรือมีความสุขที่ได้ทำงาน ล้มแล้วก็ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ อย่างคนกลุ่มนี้ จึงมีความเป็นไปได้สูงถึง 28% ที่ได้เป็นเศรษฐีจากแนวทางนี้

เบื้องหลังความสำเร็จของนักธุรกิจหลายคนน่าเอาเป็นแบบอย่าง มีหลายคนสามารถสร้างธุรกิจขนาดใหญ่ โดยเริ่มจากศูนย์ ได้ภายใน 1 ช่วงอายุคน

คนกลุ่มนี้ อาจจะเป็นคนเก่ง และฉลาดด้วย แต่ที่ต้องมีทุกคนคือ ความขยัน พวกเขาแทบไม่ได้ใช้เงินที่พวกเขาหาได้ ไม่ใช้เพราะเสียดายเงิน แต่เป็นเพราะไม่มีเวลาใช้เงิน เขาเลือกใช้เวลาไปกับการหาเงิน/ทำงาน ที่สนุกกว่า

อีกส่วนหนึ่ง ที่ส่งเสริมให้คนเป็นเศรษฐี จากแนวทางนี้
ท่านอาจเคยได้ยินคำถามที่ว่า "คนเก่ง กับ คนรวย ใครมีโอกาสประสบความสำเร็จทางธุรกิจ มากกว่ากัน" คำตอบเรารู้ๆกันอยู่แล้ว คือ คนรวย หรือพ่อรวย ช่วยทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่า คนเก่ง

-----

I: Investor = ออมและลงทุน รวยได้ด้วยชีวิตเรียบง่าย

คนกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขามีรายได้ปานกลาง แต่ที่สามารถเป็นเศรษฐีได้ เพราะใช้พลังสองอย่าง คือ พลังแห่งดอกเบี้ย และ พลังแห่งเวลา

พลังแห่งดอกเบี้ย คือผลตอบแทน ซึ่งจะเป็นการปันผลจากหุ้นหรือกองทุน หรือค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ แน่นอนพวกเขาต้องเข้าใจการลงทุนดีพอ

แค่นั้นยังไม่พอ พลังแห่งเวลา คือพวกเขาเริ่มออมและลงทุนเร็ว หรือเริ่มตั้งแต่มีรายได้ รู้จักเก็บก่อนใช้ เมื่อเวลาผ่านไป

ด้วยความมีวินัย และความเพียรในการออมและลงทุน จึงมีความเป็นไปได้สูงถึง 22% ที่ได้เป็นเศรษฐีจากแนวทางนี้ โดยที่ไม่จำเป็นต้อง
- เก่ง และขยันทำงานหนัก แบบ E: Employee (ผู้บริหาร)
- เป็นอัจฉริยะบุคคล แบบ S: Self Employed (อัจฉริยะ)
- ทำงานหนักมาก แบบ B: Business Owner (นักล่าฝัน)

โปรดติดตาม รายได้หลายช่องทางใน EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com