วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

7 สิ่งที่ทำให้พนักงานบริษัท เกิดความทุกข์ (รายได้หลายช่องทาง EP13)

การเป็นพนักงานบริษัท บางครั้งก็ไม่มีความสุข นั้นเพราะ เรากำลังเป็นทุกข์ อยู่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรืออาจมีหลายๆเรื่องก็เป็นได้


ทุกข์อยู่ที่ใจ เราสามารถแก้ไขได้ที่ใจ แต่เราต้องรู้สาเหตุนั้นเสียก่อน นั้นคือ เหตุแห่งทุกข์ หรือ สมุทัย ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ในเรื่อง อริยสัจ 4

ในที่ทำงาน สิ่งที่ทำให้พนักงานบริษัท เกิดความทุกข์ มีอะไรได้บ้าง

1. ไม่พอใจหัวหน้า
2. ไม่ถูกกับเพื่อนร่วมงาน
3. รู้สึกว่าแผนกอื่นเอาเปรียบ
4. รู้สึกบริษัทไม่ใส่ใจพนักงาน
5. เบื่องานที่ทำ
6. อ่อนล้า หมดไฟ
7. ทำงานต่อไป ก็ไร้อนาคต

-----

แล้วเราควรต้องจัดการกับปัญหานี้ อย่างไร?

1. ไม่พอใจหัวหน้า
หัวหน้า หรือผู้บังคับบัญชาโดยตรง เป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลต่อเรามากๆในที่ทำงาน เพราะเขาเป็นผู้มอบหมายงาน และประเมินผลงานของเราด้วย
มีหลายสาเหตุมากๆที่ลูกน้อง ไม่พอใจหัวหน้าตัวเอง แล้วควรทำอย่างไร

-หัวหน้า แย่งผลงาน
งานจะถูกนำเสนอไปในระดับสูงขึ้น ให้คิดเสียว่า เราเก่งมีไอเดียเจ่ง หัวหน้าจึงนำงานของเราไปใช้ ส่วนหัวหน้าระดับสูงถัดไป ถ้าเขาไม่รู้วันนี้ วันต่อๆไป หลายปีต่อไป เดี๋ยวใครๆก็รู้

หรือสุดท้าย หัวหน้าของคุณเอง คนที่แย่งผลงานของคุณนี่แหละ จะเป็นผู้ส่งเสริมสนับสนุน ให้คุณก้าวหน้าต่อไป

ถ้างานของคุณมัน Work หัวหน้าและแผนกของคุณ จะได้รับผลตอบแทน
โปรด "ปิดทองหลังพระ" ต่อไป
คนเก่งๆสักวันจะฉายแสงขึ้นมาเอง แนะนำให้ส่งงานดีๆให้หัวหน้าเราต่อไป

แต่ถ้างานของคุณมัน Fail (เราคิดว่า งานนั้นดีที่สุดแล้ว แต่ใช่ว่าจะถูกเสมอ) คนที่ต้องรับผิดมากที่สุด หรือเสี่ยงมากที่สุด ก็คือหัวหน้าคุณเอง

-หัวหน้า กดดันมากเกินไป
ในการทำงาน คนที่รับแรงกดดันมากกว่าเรา ก็คือหัวหน้าเรา และถัดขึ้นไปตามลำดับขั้น เราเจอความกดดันที่ถูกกระจายลงมา แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น

เพื่อความสำเร็จ บางครั้งต้องใช้พระเดช ผลักดันให้ได้ตามเป้าหมายบริษัท ความกดดันนั้น คือเรื่องงาน ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ให้ตั้งใจทำงาน ก็เท่านั้นเอง

-หัวหน้า ลำเอียง
เรื่องนี้ ต้องขอคุยหรือคำอธิบายจากหัวหน้า คุยกันให้เคลียร์ไปเลย เราอาจคิดไปเอง หรือเรารู้เฉพาะส่วนของเรา จึงน้อยใจเพราะมีส่วนที่เราไม่รู้

-หัวหน้าขี้โมโห
อย่างนี้ต้อง feedback ตอนที่หัวหน้าอารมณ์ดี ให้รู้จักดูท่าทีตอน feedback ด้วย ให้บอกถึงประโยชน์ของบรรยากาศการทำงานที่ดี และพูดข้อดีของหัวหน้าเยอะๆก่อน(ชมก่อน) แล้วค่อยบอกเรื่องที่เขามีอารมณ์ร้าย

-----

2. ไม่ถูกกับเพื่อนร่วมงาน
การแก้ปัญหาคนไม่ถูกกัน ไม่ต้องไปสนใจถึงต้นเหตุว่าเป็นเรื่องอะไร ใครถูก ใครผิดกันแน่ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องมีการพิพากษาใดๆ

การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ ต้องใช้หลัก พรมวิหาร 4 เริ่มจากการพูดคุย ให้แต่ละคน แชร์เรื่องราว(เล่าสู่กันฟัง) งานที่กำลังทำ อุปสรรคปัญหา มีความหนักใจเรื่องอะไรบ้าง

หากเราตั้งใจฟังดีๆ เราทุกคนต่างก็มีปัญหากันทั้งนั้น การรู้จักเข้าอกเข้าใจผู้อื่น ทำให้เราลดความไม่พอใจผู้อื่น

ยิ่งถ้าเราแสดงความมีน้ำใจ กับคนที่เขาไม่ชอบเราได้ อีกไม่นาน เขาจะต้องใจอ่อน ยอมรับความเป็นมิตรของเรา

คนที่ทุกข์ คือ คนที่ไม่พอใจอีกคน
ส่วนคนที่ถูกไม่พอใจ อาจไม่รู้เรื่อง หรือ ไม่เป็นทุกข์แต่อย่างใดเลย

-----

3. รู้สึกว่าแผนกอื่นเอาเปรียบ
ส่วนใหญ่แล้ว มักเป็นการคิดไปเอง คือ คิดมากไปก็จิตตก

เราไม่เข้าใจการทำงาน ความยากลำบาก ความท้าทายงานของคนอื่น หรือของแผนกอื่น แล้วไปคิดเอาเองว่า 20:80 ตามกฏของพาเรโต Pareto Ratio

คน 20% ทำผลงาน 80% ของบริษัท แล้วทึกทักว่า ตัวเองเป็นคน 20% ที่ถูกคน 80% เอาเปรียบ

มันไม่ใช่หน้าที่ของเราเลย...
มันเป็นงานของ MD (บริษัทเล็ก) หรือ CEO (บริษัทใหญ่) เขาต้องพิจารณางานนี้ เราไม่ต้องไปกลุ้มใจกับงานของคนอื่น

-----

4. รู้สึกบริษัทไม่ใส่ใจพนักงาน
ตอนที่กำลังทำงานอยู่ในบริษัทต่างๆ ผมได้ยินพนักงานหลานคน บ่นเรื่องโน้น บ่นเรื่องนี้ อันนี้ก็ไม่ถูกต้อง อันนี้ก็ไม่เหมาะสม

แต่พอบริษัทนั้นไม่อยู่แล้ว อาจถูกปิด หรือถูกซื้อกิจการ เจ้าของใหม่มาดูแล
กลับมาหวนคิดถึงสิ่งดีๆ ที่ตัวเองเคยได้รับในภายหลัง ต่อไปคงไม่มีอีกแล้ว

ในตอนนั้น มองข้ามในสิ่งดีๆที่เราได้รับ และไม่ให้คุณค่า
จนกว่าจะเสียสิ่งนั้นไป จึงจะสำนึกได้ในภายหลัง

แต่สำหรับสิ่งที่ไม่โอเค รู้สึกไม่พอใจ กับคิดซ้ำวน จมอยู่กับความทุกข์
นั้นคือ การคิดลบ Negative Thinking

เราไม่สามารถเลือกได้ว่า ไม่ต้องไปเจอกับพวกคิดลบ แต่เราสามารถเป็น คนคิดบวกได้ Positive Thinking แล้วถ่ายทอดสิ่งดีๆ ให้คนอื่นได้ด้วย

ทุกบริษัท มีทั้งข้อดี และข้อเสีย มันอยู่ที่ว่า ความคิดของคุณ อยู่ที่ตรงไหน?

-----

5. เบื่องานที่ทำ
ทุกตำแหน่งงานมีคุณค่าของมัน เชื่อซิ คนที่เขาจ่ายเงินเดือน หรือหัวหน้าคุณเอง เห็นถึงคุณค่าในสิ่งนี้ และพวกเขาต้องการให้คุณส่งมอบงานที่ดี

ส่วนใหญ่แล้ว จะเบื่อเพราะ คิดไปเองว่างานที่ทำอยู่ทุกวันนั้นไม่มีคุณค่า

หากคุณไม่สามารถ Motivate ตัวคุณเองได้ แนะนำให้ปรึกษาหัวหน้างาน เล่าความทุกข์ หรือความน่าเบื่อให้เขาฟัง

เป็นหน้าที่ของหัวหน้างานของคุณเลย ที่จะต้องทำให้คุณอยากทำงาน ทำให้คุณเห็นคุณค่าในงานของคุณ

หรือเขาอาจเห็นโอกาส เห็นความสามารถคุณ และอาจมอบหมายงานใหม่ ที่ท้าทายกว่าเดิมให้แก่คุณ

-----

6. อ่อนล้า หมดไฟ
เหนื่อล้า ท่อแท้ หมดไฟ อยากจะ Burn out วิธีแก้ปัญหาอยากแรกเลย
" ไปนอนให้เต็มอิ่ม " ตื่นมาค่อยคิดแก้ปัญหานี้

สมองคนเรา เชื่อมโยง ร่างกาย กับ จิต
- สุขภาพจิตดี ส่งผลให้ สุขภาพกายดี
- สุขภาพจิตไม่ดี ส่งผลให้ สุขภาพกายไม่ดี
- สุขภาพกายดี ส่งผลให้ สุขภาพจิตดี
- สุขภาพกายไม่ดี ส่งผลให้ สุขภาพจิตไม่ดี
สัมพันธ์กันตลอดเวลา แยกกันไม่ออก

หากเกิดการอ่อนล้า หมดไฟ กลับมาตั้งหลักใหม่ เมื่อได้พักผ่อนทั้งสมองและร่างกาย หาหนทางปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน จัดลำดับความสำคัญ วางแผนล่วงหน้า จงเชื่อว่า ทุกปัญหาแก้ไขได้ ค่อยเป็น ค่อยไป

-----

7. ทำงานต่อไป ก็ไร้อนาคต
พนักงานที่ทำงานมานานหลายสิบปี มีโอกาสเป็นทุกข์ในเรื่องนี้สูง เพราะ

คิดแบบคณิตศาสตร์ ในบริษัทขนาดใหญ่ คนที่มีอายุงานมาก ที่ไม่ได้เป็นผู้บริหาร มีมากกว่าคนที่ถูกปูทางให้เป็นผู้บริหารหรือ CEO อยู่หลายเท่าตัว

บริษัท ยังคงเห็นความสำคัญ ถึงความสามารถและหน้าที่ของคุณ อาจจะเป็นงานที่ปรึกษา ให้ความรู้ ถ่ายทอดสอนงาน สร้างคนรุ่นใหม่ เป็นต้น

คุณค่าของคุณ มันก็เหมาะสมกับตำแหน่งและเงินเดือนที่คุณได้ นั้นแหละ
เราก็ต้องทำงานตอบแทนบริษัท ให้คุ้มค่าในสิ่งที่เราได้รับมาจากบริษัท

เราทำงานรับเงินเดือนจากบริษัทมา ต้องคำนังถึงเจ้าของบริษัท ต้องช่วยสร้างกำไร โดยการเพิ่มรายได้ เพิ่มลูกค้า ลดค้าใช้จ่าย ฯลฯ

-----

แต่สิ่งที่เราอาจเข้าใจผิด อนาคตเรา กับอนาคตบริษัท มันคนละอย่างกัน
อนาคตบริษัท อาจมีคุณเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ

ในทางตรงกันข้าม
อนาคตคุณ อาจมีรายได้จากบริษัทเป็นส่วนประกอบ
นั้นคือที่มาของ ซีรีย์ รายได้หลายชองทาง

อนาคตสำหรับคนทั่วไป
(ไม่ได้หมายถึงบริษัท ที่กำลังจะผ่านยุค Disruptive Technology)

ความพยายามหารายได้ใหม่จากช่องทางอื่น สำคัญน้อยกว่า
ความพยายามรักษารายได้หรือเพิ่มรายได้จากช่องทางเดิม

ถ้าเรามั่นใจว่า เรารักษารายได้จากช่องทางเดิม ไว้ได้ดีพอสมควรแล้ว
ต่อไปก็พยายามหารายได้เพิ่มจากช่องทางอื่น นั้นคือ อนาคตของคุณ

โปรดติดตาม รายได้หลายช่องทางใน EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ลด Single-use plastic (ใจเกษตร EP6)

การรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นหน้าที่ของพลเมืองของโลก
ที่ผ่านมา ธรรมชาติได้ส่งสัญญาณเตือนว่า "เธอทำกับโลกเกินไปแล้วนะ"


- อากาศแห็ง/ร้อนขึ้น เกิด PM2.5 บ่อยขึ้น
- น้ำท่วมใหญ่
- ไฟป่า
- แผ่นดินไหว
- น้ำแข็งขั่วโลกเหนือละลาย
- ฟ้าฝน ตกผิดฤดูกาล

เราทุกคนช่วยกันดูแลปกป้องโลกได้หลายวิธี เช่น
1. ประหยัดพลังงาน หรือเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียน
2. ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
3. ปลูกต้นไม้เยอะๆ เพิ่มพื้นที่ป่า

-----

และการลดการใช้ถุงพลาสติก หรือ Single-use plastic เป็นอีกวิธีหนึ่ง
เพราะ ขยะพลาสติก คุกคามระบบนิเวศ์ ไม่ว่าจะเป็น พื้นที่ทิ้งขยะ การเผาขยะ เดือดร้อนไปจนถึง ชายหาด และทะเล

สถิติ คนกรุงเทพ 1 คนใช้ถุงพลาสติก 8 ใบ/วัน ดูไม่เยอะเลยใช่มั้ยครับ
คนไทยทั้งประเทศ ใช้ถุงพลาสติก 5,300 ตัน/วัน
พอเราใช้ถุงพลาสติกกันหลายๆคน ระบบนิเวศน์ของเราน่าเป็นห่วง

ผมและครอบครัว ลดการใช้ถุงพลาสติกอย่างจริงจัง ได้เกิน 2 เดือนแล้ว
และจะทำต่อไป (ปรกติ ก็พยายามใช้น้อยๆ อยู่แล้ว)

บางครั้ง ยืนนิ่งอยู่หน้าร้านอยู่นานนน (แม่ค้า งง จะซื้ออะไร คิดนานจัง)
ที่กำลังคิดคือ หาทางไม่รับถุงพลาสติก หรือ ไม่ต้องซื้อมันเลย

-----

ผมฟัง Podcast คุณรวิศ หาญอุตสาหะ Mission to the moon ถามคุณฝ้าย กุลวัลย์ สุพีสุนทร ที่ปรึกษา ด้าน Sustainability and Climate Change

คุณรวิศ: คนธรรมดาอย่างเราๆนี่ ลดการใช้พลาสติก ก็คงช่วยโลกได้ระดับหนึ่ง คุณฝ้าย มีข้อแนะนำอะไรเพิ่มเติม ?

คุณฝ้าย: เราก็แชร์ แชร์ในสิ่งที่เราทำ อาจมีผู้คนที่เห็นด้วย สัก 1 ใน 100 ที่รับรู้การแชร์ แล้วเปลี่ยนมาช่วยกันลดการใช้ถุงพลาสติกด้วย เราก็จะมีคนช่วยโลกเพิ่มอีก 1 คน

ไอเดียนี้ โดนอ่ะ ผมชอบมากเลย

จึงขอให้ท่านผู้อ่าน ที่ลดการใช้ถุงพลาสติกอยู่แล้ว หรือกำลังคิดจะลดการใช้
ไม่ใช่แค่ พยายามลดการใช้ถุงพลาสติกเท่านั้น แต่ขอให้ช่วยกันแชร์ แชร์วิธีการลดการใช้ถุงพลาสติกของคุณ

แชร์ไอเดีย แชร์ในสิ่งที่คุณทำ แชร์การดูแลปกป้องโลก อื่นๆ เช่น การประหยัดพลังงาน การลดการปล่อยก๊าซ การปลูกต้นไม้ ฯลฯ
เพื่อให้เกิดการช่วยโลกเพิ่มขึ้น แบบทวีคูณ

การใช้ถุงพลาสติกที่ผม และครอบครัว ทำอยู่ในทุกวันนี้
1. พกถุงผ้าไปร้านค้า หรือไปซุปเปอร์มาเก็ต


2. พกกล่องพลาสติก และถุงผ้า ไปที่ทำงาน


3. พกปิ่นโต ติดรถประจำ วันไหนที่กินข้าวนอกบ้าน แล้วกินไม่หมด จะได้ห่อปินโตกลับไปอุ่นที่บ้านกินวันหลัง


4. ดื่มน้ำ(น้ำส้มคั้น) ที่ร้าน ดื่มให้เสร็จเลย ไม่ต้องใส่แก้วพลาสติก หรือจะพกแก้ว YETI แทนก็ได้


5. กินผลไม้ใช้จานที่ร้าน เช่นกัน ทานให้เสร็จเลย ไม่ต้องใส่ถุงพลาสติก หรือจะพกกล่องพลาสติก(ตามข้อ 2) แทนก็ได้
(ตอนนี้ ไม้ไผ่จิ้มก็ไม่รับ ผมใช้ส้อมแทน)


และสุดท้าย ขอแชร์วิธีลดการใช้ถุงพลาสติก ในซีรีย์ ใจเกษตร EP นี้

สนใจการทำเกษตรและสิ่งแวดล้อม โปรดติดตาม ใจเกษตร EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

Power of Connection (รายได้หลายช่องทาง EP12)

การได้รับโอกาสดีๆบ่อยครั้ง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะ มีหลายคนที่รู้จักเรา เห็นเรามีความสามารถ หรือเห็นคุณค่าของเรา เขาจึงเสนอโอกาสดีๆให้แก่เรา นั้นคือ พลังแห่งสายสัมพันธ์


EP ก่อนหน้านี้ พูดถึง 5 เป้าหมายในการทำงานช่วงแรก
1 ในนั้นคือ Connection ซึ่งสำคัญมากในชีวิตการทำงาน

ถ้าเราเป็นคนที่มีความสามารถ เป็นคนเก่ง ขยัน อดทน สู้งาน
แต่เราไม่รู้จักใครเลย สิ่งดีๆที่มีอยู่ในตัวเรา ก็ยากที่จะได้แสดงออกมา

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องมีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันอยู่แล้ว แต่การรู้จักใช้สิ่งนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เราจะต้องตระหนักถึงคุณค่าสิ่งนี้

คนที่เรารู้จัก ในที่ทำงาน เช่น ลูกค้า หัวหน้า เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง คู่ค้า เป็นต้น หรือรู้จักมาจากการเข้าสังคมของเราเอง เช่น ออกกำลังกาย งานอดิเรก งานช่วยเหลือสังคม งานกิจกรรมต่างๆ

พวกเขามีโอกาสสร้างประโยชน์ให้เรา ได้หลายอย่าง เช่น

1. เสนอโอกาสดีๆ ให้แก่เรา
2. แนะนำบอกต่อกับอีกคนที่เราต้องการ
3. แลกเปลี่ยนความรู้ หรือเป็นที่ปรึกษา
4. ร่วมกันทำงานเป็นทีม ซึ่งเป็นงานที่เราทำคนเดียวไม่ได้
5. ช่วยแก้ไขปัญหา ลดอุปสรรคต่างๆ

ยกตัวอย่างจริง 3 กรณี
กรณีแรก ชีวิตการเป็นพนักงานบริษัทของผมเอง
2 บริษัทแรกหลังจากเรียนจบ ยังไม่รู้จักใครเลย ผมสมัครงานด้วยการยื่นใบสมัครผ่าน HR (ฝ่ายบุคคล) แบบปรกติ

แต่อีก 5 บริษัทหลังจากนั้น ตลอดชีวิตการทำงานกว่า 20 ปี จนถึงปัจจุบัน
ผมได้รับโอกาสเข้าทำงาน เพราะมีคนรู้จักแนะนำ (ไม่ได้ยื่นใบสมัคร หรือ CV ผ่าน HR ก่อนเลย)
โทรนัด แล้วสัมภาษณ์เสร็จ ค่อยส่งเรื่องไป HR ทีหลัง

Connection ของผมมีทั้ง อดีตเพื่อนร่วมงานบริษัทเก่า เพื่อนสมัยเรียนวิศวะ อดีตหัวหน้า(ผู้บังคับบัญชา) ที่เป็นผู้แนะนำตำแหน่งงานให้ผม

กรณีที่ 2 คนรู้จักที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจ
เขาเริ่มต้นด้วยการเป็น Sale ในบริษัทที่ทำธุรกิจแบบ B-to-B (ฺBusiness to Business) ขายสินค้าและบริการให้ลูกค้าองค์กร

จากประสบการณ์ที่เป็น Sale เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เขาลาออกมาตั้งบริษัทของตัวเอง ขายสินค้าและบริการให้ลูกค้าองค์กร เช่นกัน

เขาไม่ได้เริ่มจากศูยน์ แต่เขามี Connection ลูกค้าเดิมอยู่แล้ว และมี Connection กับผู้ผลิตสินค้า สามารถขอเครดิตแบบ back to back กับสัญญาซื้อของลูกค้าได้ คือ เมื่อลูกค้าชำระเงินมาแล้ว เขาก็หักส่วนกำไรไว้ก่อน แล้วจึงนำต้นทุนไปชำระให้ผู้ผลิตสินค้าต่อไป

เห็นหรือยังครับว่า พอมีความรู้ และมี Connection ก็สามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้ โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุน

กรณีที่ 3 ความร่วมมือระหว่าง 2 บริษัทใหญ่
หลายคนในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง พยายามเข้าไปทำงานร่วมกับบริษัทของรัฐ (รัฐวิสาหกิจ) ต้องเจออุปสรรคมากมาย งานไม่มีความคืบหน้า

แต่มีบางคน(Someone) ที่รู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่ ช่วยประสานทำความเข้าใจกัน พอไม่นาน งานก็ราบรื่น มีความร่วมมือ และงานก็สำเร็จได้ตามเป้าหมาย

เราไม่รู้หรอกว่า อนาคตจะมีใครมาช่วยเราได้
แต่ถ้ามีโอกาสที่ เราสามารถช่วยเหลือคนที่เรารู้จักได้ ก็ให้ช่วยอย่างเต็มที่ ไม่ใช่ช่วยเพื่อหวังให้เขาต้องมาตอบแทนอะไรให้เรา แต่เป็นการเสริมความแข็งแกร่งสายสัมพันธ์ในพวกพ้องของเรา

ในอนาคต เราอาจเป็นที่พึ่ง หรือเขาอาจเป็นที่พึ่ง หรือพึ่งพากันและกัน
ให้รู้จักรักษาสายสัมพันธ์ที่ดีไว้ สักวันมันจะจำเป็นสำหรับเรา

โปรดติดตาม รายได้หลายช่องทางใน EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

Mobile App เลือดสาด หรือ ตลาดใหม่ (Disruptive EP5)

McKinsey คาดการณ์ว่า ในปี คศ. 2025 Mobile Internet จะเป็น Disruptive technology ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงที่สุด


Mobile Internet คงไม่ใช่แค่ ธุรกิจผู้ให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์มือ 3G, 4G หรือ 5G แต่รวมถึงธุรกิจขนาดใหญ่ระดับโลก อื่นๆ เช่น
 - ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือ เช่น Apple, Sumsung, Huawei, OPPO
    (ผลิตทั้ง มือถือ แท็บเล็ต Wearable และบริการต่างๆ)
 - ผู้ให้บริการ Mobile App ซึ่งจะมี Platform และอาจจะมี Content ด้วย
    (มีสมาชิกเป็นพันล้านคน เป็นกลุ่มที่ร่ำรวยที่สุด)
 - และยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้อง Mobile Internet อีกมากมาย เช่น IoT, VR, AR

Mobile App คือ Application Service บน Mobile Internet มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงมากๆ ดังตัวอย่างที่เห็น Amazon, Google, Facebook, Tencent, Twitter, YouTube, Netflix, Alibaba, Lazada และอีกมากมาย

ผู้ให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์ 3G & 4G ของไทยในปัจจุบัน เช่น AIS และ True ลงทุนค่าประมูลคลื่นความถี่ หลายแสนล้านบาท (รวมทุกคลื่นความถี่) แล้วยังต้องลงทุนค่าก่อสร้างและค่าดูแลโครงข่ายอีกเป็นแสนล้านบาท

แต่ยังไม่ถึงจุดคุ้มทุนดีนัก ก็มีเทคโนโลยีใหม่ (5G) มาให้เลงทุนเพิ่มอีก
(2G อยู่ได้นานเป็น 10ปี แต่ 3G & 4G อยู่ได้ไม่ถึง 5ปี ก็มีเทคโนโลยีใหม่)

แต่ที่แสนเจ็บปวดมากกว่า แทนที่จะมีรายได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย จากผู้ใช้บริการโทรศัพท์ 3G & 4G
ยังต้องมาแบ่งรายได้ต่างๆ ให้ผู้ให้บริการ Content และ Mobile App ที่ข้ามโลกมาจากไหนก็ไม่รู้ (ไม่ต้องลงทุนโครงข่ายและค่าคลื่นเลย)

ผู้ให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์ 3G & 4G มีรายได้จาก ค่าโทร และค่าแพ็คเกจอินเตอร์เน็ต เท่านั้น

ส่วนผู้ให้บริการ Content และ Mobile App ใช้ช่องทางอินเตอร์เน็ตผ่านโครงข่ายไปหลายๆประเทศ แย้งค่าโฆษณาจากทีวี ได้ค่าสับตะไคร้ (Subscribe) ค่าติกเกอร์ และค่าบริการต่างๆ ฯลฯ

นักลงทุนทั่วโลก เมื่อเห็นความร่ำรวยของ Amazon, Google, Facebook, Tencent จึงเกิดกระแส "เฮตามกันไปลงทุน" เพื่อจะได้เป็นผู้ให้บริการ Content และ Mobile App ที่ร่ำรวย เช่นกัน

หากจะแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ อาจแบ่งได้ 3 กลุ่ม

1. ผู้ให้บริการเดิม เจ้าของสมาชิกผู้ให้บริการเป็นพันล้านสับตะไคร้ ทั่วโลก เช่น Facebook, Google, Tencent, LINE
(พวกเขาพยายามรักษารายได้ และฐานลูกค้าเดิม และพยายามสร้างบริการใหม่ๆตลอดเวลา ด้วย Big Data และเทคโนโลยีที่เหนือกว่า)

2. Telecom Operators เช่น Softbank จากประเทศญี่ปุ่น ที่กระจายการลงทุนด้านนี้ไปทั่วโลก
ส่วนในประเทศไทยเอง ก็มีทั้ง AIS และทรู ที่ลงทุนในด้านนี้
(AIS ประกาศว่า Digital Platform จะเป็นแหล่งรายได้แห่งใหม่ ที่จะมาแทนที่ค่าบริการโครงข่ายในปัจจุบัน)

3. Startup, ธุรกิจจากอุตสาหกรรมอื่น ทั้งระดับ Global ระดับ Local ในประเทศ มีทั้งรายใหญ่ร ายเล็กทั่วโลก ซึ่งมีเงินลงทุน พร้อมอย่างเหลือเฟือ
(แม้กระทั้งธนาคาร สถาบันการเงินที่เคยมีรายได้จากดอกเบี้ยในการปล่อยกู้ และค่าบริการทางด้านการเงินมาอย่างยาวนาน ยังต้องพยายามหาธุรกิจอื่น ที่จะเป็นรายได้แห่งใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ลงทุนใน Mobile App)

มันคือ ตลาดของการแข่งขันอย่างรุนแรง "เลือดสาด Red Ocean"
เพราะมันไม่ง่ายแบบ 10 หรือ 20 ปีก่อนหน้านี้ ที่โลกยังไม่รู้จัก Social Media, Online Shopping, VDO streaming, Food delivery, ...
การ Subsidized แย่งฐานลูกค้า การลด แลก แจกแถม เพื่อทำลายคู่แข่ง

หรือ Mobile App จะเป็นโอกาส สร้างบริการใหม่ที่ยังไม่มีในโลก เกิดเป็น "ตลาดใหม่ Blue Ocean"
เพราะเทคโนโลยี ทำให้ต้นทุนถูกลง สินค้าและบริการ มีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น คุณภาพก็ดีขึ้น (ถูก เร็ว ดี) จึงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคในยุคใหม่ แล้วจะเป็นแหล่งรายได้(ขุมทอง) แห่งใหม่ อย่างที่ทุกคนวางเป้าหมายไว้

คงต้องดูยาาวๆ โปรดติดตาม Disruptive EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

เป้าหมาย 5 ปีแรกของการทำงาน (รายได้หลายช่องทาง EP11)

เกือบทุกคน ตั้งเป้าหมายอันดับแรก ในการเริ่มต้นชีวิตการทำงาน คือ มีรายได้หรือมีเงินเดือนสูงๆ บางคนไม่สนใจด้วยซ้ำว่า บริษัทจ้างให้ทำอะไร


คนส่วนใหญ่เริ่มทำงาน ด้วยการเป็นพนักงานบริษัท มีทั้งแบบพนักงานประจำ แบบ Contract(สัญญาจ้าง) หรือบางคนก็เป็น Freelance ทำงานอิสระ

เป้าหมาย 5 ปีแรกของการทำงาน EP นี้ ปรับใช้งานได้กับทุกลักษณะงาน

โดยอยากให้ค้นหาตัวเอง
เน้นการพัฒนาทักษะ ความสามารถของตัวเอง และเพิ่มประสบการณ์ทำงาน

เมื่อเราโตขึ้น เป็นระดับ Senior ที่เต็มไปด้วยความสามารถในสายอาชีพนั้นๆ
อัตราเร่งของความก้าวหน้า ในตำแหน่งหน้าที่ และรายได้ จะไปได้เร็วกว่า และจะแซงคนที่เน้นแต่รายได้อย่างเดียวในช่วงเริ่มต้น (ฝีมือเท่าเดิม)

คนในช่วงวัย พึ่งเรียนจบแล้วเริ่มต้นทำงาน
1. อายุน้อย ปรับตัว เรียนรู้ ได้ง่ายกว่า (รุ่นพี่ก็อยากสอนงาน)
2. มีภาระน้อย แบ่งเวลาอบรมเพิ่มเติม ได้มากกว่า
3. หากทำอะไรผิดพลาดไป จะแก้ไข ได้ง่ายกว่า
จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุด ที่จะพัฒนาตัวเอง

-----

1) ประสบการณ์ทำงาน Work Experience
ชำนาญในงานที่ใช่ put the right man on the right job คำนี้จริงเสมอ

หากเป็นไปได้ ให้เลือกงานที่ชอบ งานที่ถนัด และงานที่ตลาดต้องการ
เมื่อเลือกได้แล้ว จงทำงานให้สำเร็จ สร้างผลงานให้เป็นที่ประจักร
สร้างการยอมรับจากทีมงานและหัวหน้า ว่าเราเป็นบุคคลสำคัญในผลงานนี้

2) Functional Skill (หรือ Hard Skill)
เป็นทักษะโดยตรงกับวิชาชีพที่เราใช้ทำงาน ในแต่ละงาน / แต่ละตำแหน่งต้องการทักษะที่แตกต่างกัน และมีหลากหลายทักษะ จงใช้โอกาสที่ได้ทำงาน เรียนรู้พัฒนาทักษะตัวเองไปด้วย Learning by doing

ประเมินทั้งผลงงาน ประเมินทั้งความสามารถตัวเองว่า
- ทักษะอะไรที่เราควรเสริมให้เป็นเลิศ (เพิ่มจุดแข็ง)
- ทักษะอะไรที่เราด้อย ควรต้องเรียนรู้ ฝึกฝนให้เป็นงาน (แก้ไขจุดอ่อน)

3) Connections
ความสัมพันธ์ เกิดจากโอกาสที่ได้ทำงานร่วมกัน หรือส่งมอบผลงานให้แก่ลูกค้า ผู้คนจะจดจำเราได้ดี ถ้าเราทำงานดี ผลงานดี และมนุษย์สัมพันธ์ดี

Connection มีหลายมิติ (ด้าน) ต่างก็สำคัญแตกต่างกันไป
- ลูกค้า เขาจะจดจำเราได้ดี ถ้าผลงานของเราเป็นที่น่าพอใจ
- หัวหน้า หรือผู้บริหาร เขาจะส่งเสริมหน้าที่การงานให้แก่เรา
- เพื่อนร่วมงาน โลกมันกลม เราต้องมีโอกาสได้ช่วยเหลือกันและกัน
- ลูกน้อง งานใหญ่ต้องทำงานกันเป็นทีม หากเราได้คนเก่งอยู่ในทีม งานจะสำเร็จได้โดยง่าย
- ที่ปรึกษา หรือบริษัทคู่ค้า อย่าทำตัวเป็นคนโลกแคบ ให้รู้จักคบหาคนนอกบริษัท ยิ่งถ้ามีโอกาสได้รู้จักคนเก่งๆจะดีสำหรับเรา (รู้จักคบบัญฑิต)
เพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้ หรืออาจได้ร่วมงานกันในวันข้างหน้า ฯลฯ

4) Soft Skill, Management Skill, Digital Skill & Other Skill
คงเคยได้ยิน อย่าเก่งแต่ทำงาน ต้องเก่งเรื่องบริหารคน และเก่งบริหารจัดการด้วย ไม่ว่าหัวหน้า ลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน เราต้องมีทักษะการทำงานร่วมกัน และมีทักษะการบริหารจัดการกระบวนการทำงานให้สำเร็จ

Soft Skill มักไม่ค่อยมีสอนในสถาบันการศึกษา การได้ทำงานกับคนหลายๆคน คือโอกาสที่จะได้เรียนรู้ ประเมินทักษะนี้ เช่น การประเมิน 360 จะทำให้เรารู้ว่า เราควรปรับปรุงทักษะอะไร

5. Saving & Investment
ทำงานแล้วต้องมีรายได้ ถ้ารู้จักออมก่อนใช้ตั้งแต่เริ่มทำงาน จะดีมากๆ
ไม่ต้องกังวลว่า เป็นจำนวนเงินน้อยหรือมาก ตั้งเป้าที่ % ของรายได้

แล้วค่อยๆเรียนรู้เรื่องการลงทุน อย่างน้อยต้องเข้าใจ ในสิ่งที่เราจะลงทุน
- เสี่ยงมาก ผลตอบแทนมาก, เสี่ยงน้อย ผลตอบแทนน้อย
- สภาพคล่องของสินทรัพย์นั้นๆ
- ทิศทางที่เกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจ

-----

ถ้าอยากมีประสบการณ์หลากหลาย จะต้องกล้าเปลี่ยนงานบ่อยๆ แต่ก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนงาน ขอให้พิจารณา
- สร้างผลงาน ให้แก่บริษัทเดิมให้ได้ก่อน
- ควรได้การตอบรับเข้าทำงาน จากบริษัทใหม่ก่อน
- แม้จะเป็นโอกาสได้เพิ่มประสบการณ์ แต่ถ้าได้เพิ่มฐานเงินเดือนด้วย จะดีมากๆ
ดังนั้น ถ้าเรามีความสามารถจริง ให้ฝึกเพิ่มความมั่นใจ และฝึกการเจรจาต่อรองเงินเดือน

ท้ายที่สุด ขอให้คิดเสียว่า
งาน คือการเรียนรู้ที่มีรายได้ ดีกว่า เรียนมหาลัยที่ต้องจ่ายค่าเทอม
สิ่งที่มีค่ามากที่สุด นั้นคือ เวลาและโอกาสที่เราใช้ไป (จงใช้ให้คุ้มค่า)

โปรดติดตาม รายได้หลายช่องทางใน EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

ปลูกผักแบบไฮโดรออแกนิค อย่างไร (ใจเกษตร EP5)

ใจเกษตร EP ก่อนนั้น พูดถึง ทำไมต้องปลูกผักแบบไฮโดรออแกนิค มีข้อดีอย่างไร คราวนี้เรามาดูกันว่า เราจะปลูกอย่างไร


ไฮโดรออแกนิค มีหัวใจสำคัญ 2 อย่างคือ
1. การทำบ่อหมักปุ๋ยอินทรีย์
2. สูตรปุ๋ยหมักอินทรีย์

คร่าวๆ การปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ คือ มีถังผสมปุ๋ย AB แล้วปัมป์น้ำจากถัง ขึ้นไปที่รางปลูกด้านสูง แล้วปล่อยน้ำให้ไหลผ่านรางปลูก (มาด้านต่ำ) แล้วปล่อยน้ำ ให้วนกลับมาที่ถัง เช่นเดิม

ผักที่ปลูก จะเพาะด้วยถาดโฟม หรือกระถางใส่ "เพอร์ไลต์" เป็นหินภูเขาไฟที่ถูกเผาจนขยายตัวทำให้มีคุณสมบัติเบาและอุ้มน้ำ

การเพาะใช้เวลา 2 สัปดาห์ ช่วงนี้ต้องสร้างความชุ่มชืื้นตลอด ด้วยการพ่นด้วยน้ำเปล่า สลับพ่นด้วยน้ำผสมปุ๋ย AB (หรือปุ๋ยปลาหมัก ถ้าเป็นออแกนิค)

ใช้เวลาปลูกในรางอีก 4 สัปดาห์ (รวม 6 สัปดาห์) ผักก็โตพร้อมรับประทาน

-----

ปลูกแบบไฮโดรออแกนิค ต้องเปลี่ยนเป็นถังที่ใบใหญ่กว่า เนื่องจากการหมักปุ๋ยอินทรย์ใช้พื้นที่มากกว่าปุ่ญเคมี

เพิ่มอีก 1 ถังใบเล็ก เป็นถังหมักปุ๋ยฯ ให้ใส่เข้าไปในถังใหญ่ได้พอดี
แต่เพื่อความแข็งแรง ควรใช้ถังพลาสติกเจาะรู (แทนตระกล้า)
- เจาะรูใหญ่ เชื่อมกับท่อ เพื่อส่งน้ำปุ๋ยขึ้นไป(ท่อเพื่อสอดสายยางปั้มส่งน้ำ)
- เจาะรูเล็ก รอบถังด้านข้างทั้ง 4 ด้านและด้านล่าง เพื่อปล่อยน้ำหมักในถังใบเล็ก ไหลไปถังใหญ่ ที่มีปั้มน้ำ

เท "เม็ดดินเผา" เกือบเต็มถังใบเล็ก จากนั้นเติมน้ำที่ผสมปุ๋ยหมักอินทรีย์แล้วลงไป โดยเติมให้เกือบเต็มเม็ดดินเผา แต่ไม่ให้น้ำท่วมเม็ดดินเผา

ประโยชน์ของเม็ดดินเผา clay pebbles คือ
1. เป็นที่อยู่ของจุลินทรีย์ที่ย่อยอินทรีย์วัตถุให้เป็นธาตุอาหารที่พืชต้องการ
2. จากข้อแรกจะคล้ายกับ Bio Ball ของเครื่องกรองน้ำเลี้ยงปลา แต่เม็ดดินเผาดีกว่า ตรงที่ช่วยรักษาความเย็นของน้ำปุ๋ยที่พืชชอบ

น้ำที่ผสมปุ๋ยหมักอินทรีย์ จะใช้ปุ๋ย 2 หรือ 3 อย่างก็ได้ สัดส่วนปริมาณปุ๋ยในการผสมน้ำ ให้อ่านคำแนะนำที่ข้างขวด (คำแนะนำจากผู้ขายปุ๋ย) เพราะแต่ละยี่ห้ออาจทำปุ๋ยสูตรความเข้มข้นต่างกัน

สูตรปุ๋ยหมักอินทรีย์ ของอาจารย์สัมพันธ์ เพื่อนเกษตรเฟรชวิลล์ฟาร์ม คือ
1. ปุ๋ยหมักปลา
2. ปุ๋ยน้ำหมักขี้ไส้เดือน
3. หรือปุ๋ยน้ําหมักชีวภาพต่างๆ เช่น ปุ๋ยหมักเปลือกกล้วย (banana peel)

และส่วนผสมที่สำคัญ เพิ่มเติม คือ
4. จุลินทรีย์ช่วยหมักปุ๋ย ซื้อจาก Lazada หรือของกรมพัฒนาที่ดิน (พด.)
5. อะมิโนโปรตีน ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืช

เพิ่มเติม เพื่อไม่ให้แสดแดดส่องใส่ถังหมักปุ๋ย อาจารย์แนะนำให้ปลูกพืช เช่น มะเขือเทศ พริก หรือโหระพา ลงในถังหมักเลย เพื่อช่วยบังแดด

สนใจเรื่องการทำเกษตร โปรดติดตาม ใจเกษตร EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

เป็นเศรษฐี ด้วยรายได้จากเงินสี่ด้าน (รายได้หลายช่องทาง EP10)

สัปดาห์ก่อน ระหว่างผมขับรถไปใจเกษตรฟาร์ม (กทม.-กาญจน์) ได้ฟัง Podcast, Mission to the Moon ของคุณรวิศ หาญอุตสาหะ


พูดถึงงานวิจัยเรื่อง Rich Habit Study ของ Tom Corley โดยมีการสัมภาษณ์เศรษฐี 223 คน และคนฐานะธรรมดา 128 คน

ผมจับใจความแล้ว มัน Match เข้ากับ เงินสี่ด้านในแบบของผม ได้ใกล้เคียง
จึงขอกลับมาเล่าเรื่อง "เงินสี่ด้าน" เพิ่มอีก 1 EP (ผมเล่าไปแล้ว 3 EP)

ในมุมของผม คนทั่วไปอย่างเราๆท่านๆ สามารถมีรายได้หลายช่องทางในเวลาเดียวกัน เพื่อความมั่นคงในการใช้ชีวิตได้อย่างผาสุข ไม่ได้อยากจะเป็นเศรษฐี อะไรมากมาย จึงเกิดเป็นซีรีย์ รายได้หลายช่องทางนี้

แต่ในมุมของ Tom Corley พูดถึงช่องทางที่ทำให้คนทั่วไป กลายมาเป็นเศรษฐี พวกเขามีรายได้จาก ช่องทางอะไรกันบ้าง และทำได้อย่างไร

ขอทำความเข้าใจก่อน นิยามของคำว่า "เศรษฐี" คือใคร
เศรษฐี ( Millionaire ) คือ ผู้ที่มีทรัพย์สินเงินทองมากกว่า 1 ล้าน USD หรือคิดเป็นเงินไทย คือมากกว่า 30 ล้านบาท

ตอนนี้ประเทศไทย มีเศรษฐีที่มีเงินมากกว่า 30 ล้านบาท อยู่ 64,000 คน
และจะมีเศรษฐีเพิ่มขึ้นเป็น 82,000 คน ในปี คศ. 2023

แล้วเศรษฐีจากช่องทางรายได้ต่างๆ (เรียงตาม เงินสี่ด้าน) นั้นเป็นอย่างไร

-----

E: Employee = ผู้บริหาร ซึ่งพวกเขาก็คือ ลูกจ้างมืออาชีพ นี่เอง

เจ้าของธุรกิจ จะจ้างคนที่เก่งกว่าเพื่อให้มาช่วยดูแลธุรกิจของเขา แน่นอนถ้าจะจ้างใครมาเป็นผู้บริหาร จะต้องเลือกคนเก่งมากและขยันเอามากๆด้วย
บ้างก็เคยมีผลงานชัดเจน บ้างก็มีเป็นคนที่มีเครดิตดีมาก

ตำแหน่งส่วนใหญ่ก็เป็น CEO, CFO หรือ COO เป็นต้น

แม้หนทางจะเป็นเศรษฐีแนวทางนี้ ทำได้ยากกว่าแบบออมและลงทุน แต่มีความเป็นไปได้สูงถึง 31% (กลุ่มใหญ่ที่สุด) ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

บริษัทขนาดใหญ่จ้าง CEO ด้วยเงินเดือนที่สูงกว่าพนักงานระดับล่างถึง 60 เท่า (สมมุติระดับล่าง 10,000 บาท -> CEO = 600,000 บาท)

ไม่ใช่แค่เงินเดือน พวกเขาอาจมีโบนัส หรือมี Stock Option เพิ่มให้อีก กรณีที่พวกเขานำพาบริษัทจนทำกำไรได้สูงๆ

ผู้บริหารบางคนรู้ข้อมูล Insider แค่ซื้อหุ้นล่วงหน้า ก็ทำกำไรได้อย่างมหาศาลจากดีลเดียว (ตัวอย่างนี้ ไม่มีธรรมาภิบาล และกลต.มีลงโทษปรับ)

แม้คนกลุ่มนี้จะเก่งมากๆ หรือขยันมากๆ (มีพลังชีวิตสูง) แต่ถ้าบริษัทที่เขาบริหารไม่ทำกำไรด้วยเหตุอื่น ก็ไม่มีโอกาสเป็นเศรษฐีจากการเป็นผู้บริหารนี้

-----

S: Self Employed = อัจฉริยะ ชื่อก็บอกว่า ต้องเป็นอัจฉริยะ

ทุกสายอาชีพ จะต้องมีอัจฉริยะ เช่น นักร้อง นักแสดง ศิลปินต่างๆ นักดนตรี นักวาดรูป สถาปนิก นักออกแบบต่างๆ นักกีฬา นักเขียน ยูทูปเบอร์ ฯลฯ

(ซ้ำ) ชื่อก็บอก คนที่เป็นอัจฉริยะมีได้แค่ 1 ในล้าน, 1 ในแสน, หรือ 1 ในหมื่นคน ดังนั้น ถ้าที่รวยด้วยแนวทางนี้ มีความเป็นไปได้แค่ 19% (ต่ำที่สุด)

พรสวรรค์ มักมาจากพรแสวง จู่ๆเป็นอัจฉริยะขึ้นมาเองไม่มี แต่เกิดจากการฝึกฝนวันแล้ววันเล่า ไม่ใช่แค่รักในสิ่งที่ทำ ต้องเรียกว่า บ้าสุดๆในสิ่งนั้นเลย

-----

B: Business Owner = นักล่าฝัน เศรษฐีกลุ่มนี้ทำงานหนักที่สุด

บางคนทำงานหนักมาก แต่ก็ไม่มีโชค แต่ด้วยนิสัยความเป็นนักสู้ นักล่าฝัน เสพติดหรือมีความสุขที่ได้ทำงาน ล้มแล้วก็ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ อย่างคนกลุ่มนี้ จึงมีความเป็นไปได้สูงถึง 28% ที่ได้เป็นเศรษฐีจากแนวทางนี้

เบื้องหลังความสำเร็จของนักธุรกิจหลายคนน่าเอาเป็นแบบอย่าง มีหลายคนสามารถสร้างธุรกิจขนาดใหญ่ โดยเริ่มจากศูนย์ ได้ภายใน 1 ช่วงอายุคน

คนกลุ่มนี้ อาจจะเป็นคนเก่ง และฉลาดด้วย แต่ที่ต้องมีทุกคนคือ ความขยัน พวกเขาแทบไม่ได้ใช้เงินที่พวกเขาหาได้ ไม่ใช้เพราะเสียดายเงิน แต่เป็นเพราะไม่มีเวลาใช้เงิน เขาเลือกใช้เวลาไปกับการหาเงิน/ทำงาน ที่สนุกกว่า

อีกส่วนหนึ่ง ที่ส่งเสริมให้คนเป็นเศรษฐี จากแนวทางนี้
ท่านอาจเคยได้ยินคำถามที่ว่า "คนเก่ง กับ คนรวย ใครมีโอกาสประสบความสำเร็จทางธุรกิจ มากกว่ากัน" คำตอบเรารู้ๆกันอยู่แล้ว คือ คนรวย หรือพ่อรวย ช่วยทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่า คนเก่ง

-----

I: Investor = ออมและลงทุน รวยได้ด้วยชีวิตเรียบง่าย

คนกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขามีรายได้ปานกลาง แต่ที่สามารถเป็นเศรษฐีได้ เพราะใช้พลังสองอย่าง คือ พลังแห่งดอกเบี้ย และ พลังแห่งเวลา

พลังแห่งดอกเบี้ย คือผลตอบแทน ซึ่งจะเป็นการปันผลจากหุ้นหรือกองทุน หรือค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ แน่นอนพวกเขาต้องเข้าใจการลงทุนดีพอ

แค่นั้นยังไม่พอ พลังแห่งเวลา คือพวกเขาเริ่มออมและลงทุนเร็ว หรือเริ่มตั้งแต่มีรายได้ รู้จักเก็บก่อนใช้ เมื่อเวลาผ่านไป

ด้วยความมีวินัย และความเพียรในการออมและลงทุน จึงมีความเป็นไปได้สูงถึง 22% ที่ได้เป็นเศรษฐีจากแนวทางนี้ โดยที่ไม่จำเป็นต้อง
- เก่ง และขยันทำงานหนัก แบบ E: Employee (ผู้บริหาร)
- เป็นอัจฉริยะบุคคล แบบ S: Self Employed (อัจฉริยะ)
- ทำงานหนักมาก แบบ B: Business Owner (นักล่าฝัน)

โปรดติดตาม รายได้หลายช่องทางใน EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

3 เทคนิคใหม่ ที่ทำให้ 5G เปลี่ยนโลก (Disruptive EP4)


โทรศัพท์เริ่มจากยุค
1G ที่ยังเป็น Analog ระบบ Cross Bar เป็นแป้นหมุน ที่มี 10 รูรอบแป้นหมุน
2G แปลงสัญญาณเป็น Digital พูดคุยได้ชัดขึ้น และส่งข้อมูลได้ 64 kbps
3G เน้นการส่งข้อมูลให้แรงขึ้น ได้สูงสุดถึง 21 Mbps
4G ยังเน้นการส่งข้อมูลให้แรงขึ้นไปอีก 10 เท่าของ 3G และมีเพิ่ม IoT

แล้ว 5G หล่ะ ยังคงเน้นการข้อมูลให้แรงขึ้นไปอีก ใช่มั้ย? คำตอบคือ
"ใช่ แต่มันมีอะไรมากกว่านั้นอีก" เพราะ 5G ตั้งใจเพื่อจะมาเปลี่ยนโลก
-----

เทคนิคใหม่ อย่างแรก คือ *** Enhance Mobile Broadband ***

เป็นการเพิ่มการรับและส่งข้อมูลให้แรงเพิ่มจาก 4G อีก 10 เท่า ถ้าจะเทียบ 5G กับ 3G จะเพิ่มเป็น 10 x 10 = 100 เท่า จะส่งข้อมูลได้สูงสุดถึง 2 Gbps

Note: (Data Speed)
64 kbps = 64 Kilo Bit Per Second =              64,000 Bit Per Second
21 Mbps = 21 Mega Bit Per Second =   21,000,000 Bit Per Second
2 Gbps = 2 Giga Bit Per Second =     2,000,000,000 Bit Per Second

โครงข่าย 5G นี้ จะเชื่อมโยง Mobile Device เช่น มือถือ แท็ปเล็ต ให้เชื่อมโยงกับ Internet, cloud, IoT, Drone, Robot หรืออุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย

Use case ที่ผลักดันให้เกิด 5G ให้มีเทคนิคเพิ่ม (Speed x 10 เทียบ 4G) นี้ ก็จะมี 8K Video, 3D Video, Cloud games (ภาพมีความละเอียดสูง), VR: Virtual Reality และ AR: Augmented reality เป็นต้น
-----

เทคนิคใหม่ อย่างที่ 2 คือ *** Massive Connections ***

ที่ได้เกริ่น 4G ได้เพิ่มเทคโนโลยี IoT แล้ว ส่วนของ 5G จะมีอะไรพิเศษ
ขนาดพื้นที่ 0.38 sq.mile ของ 4G เชื่อมกับอุปกรณ์ได้ 2,000 อุปกรณ์
ขนาดพื้นที่ 0.38 sq.mile ของ 5G เชื่อมกับอุปกรณ์ได้ 1,000,000 อุปกรณ์
(5G เจ๋งกว่า 4G = 500 เท่า)

ปัจจุบัน 1 คน 2 เบอร์(2 SIM) ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ต่อไปยุค IoT หมวก แว่นตา นาฬิกาข้อมือ แหวน หูฟัง เสื้อ การเกง หัวเข็มขัด รองเท้า จะมี eSIM หรือ iSIM เชื่อมโยงอินเตอร์เน็ตได้ทั้งหมด

ในโรงงานอุตสาหกรรมการผลิต จะมีหุ่นยนต์ที่ทำงานในโรงงานในพื้นที่เดียวกัน ได้หลายแสนตัวพร้อมๆ กัน

Use case ที่ผลักดันให้เกิด 5G มีเทคนิคใหม่นี้ จะมี Wearable, Smart Factory, Smart City, Smart Farming, Drone เป็นต้น
Use case ทั้งหมดนี้เป็น IoT 100%
-----

เทคนิคใหม่ อย่างที่ 3 คือ *** Low Latency ***

หน่วงต่ำมาก หรือตอบสนองอย่างทันที (Rapid response) การออกแบบและสร้างโครงข่าย 5G เกือบจะต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ทั้งหมด เนื่องจากเทคนิคใหม่ตัวนี้ ก็เพราะอุปกรณ์โครงข่าย 3G & 4G ในปัจจุบัน สร้างความหน่วงสูงเกินกว่ามาตรฐานที่ 5G กำหนด

ผู้ให้บริการโครงข่าย 5G ต้องลงทุนสูงมาก แล้วเทคนิคนี้ จำเป็นแค่ไหน

ในโลกอนาคต จะมีรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง Self Driving Car วิ่งบนถนนปะปนไปกับ รถยนต์ที่ขับโดยมนุษย์ มีทั้งมอไซต์ จักรยาน
รวมทั้งคนเดินถนน อยู่สองข้างทางหรือกำลังข้ามทางม้าลาย

ถ้าเกิดรถคันหน้าเบรคกระทันหัน หรือมีอะไรวิ่งตัดหน้ารถยนต์ขับด้วยตัวเอง
AI คิดจะเบรคหรือหักหลบทันมั้ย ถ้าการเชื่อมโยงมีความหน่วงสูง

ปัจจุบันรายการข่าวที่มีการติดต่อแขกรับเชิญทาง Video call ยังขาดอรรถรส เพราะแขกรับเชิญทางไกล พูดโต้ตอบช้ากว่านักข่าวที่ห้องส่ง

หรือการเล่นเกมส์ VR การดูกีฬาถ่ายทอดสด การดูคอนเสิร์ต การประชุม Video Conference การผ่าตัดโดยแพทย์ทางไกล (แก้ปัญหาขาดแคลนแพทย์เชี่ยวชาญ) ฯลฯ

5G จะทำให้คนที่อยู่ห่างไกลกัน (อยู่คนละสถานที่)
เชื่อมโยงเข้าหากันด้วยการตอบสนอง เหมือนอยู่ด้วยกันจริงๆ

Use case ที่ผลักดันให้เกิด 5G มีเทคนิคใหม่นี้ จะมี VR, AR, Industry Automation, Self Driving Car, e-Healthy, Remote operation

-----

ขอขอบคุณ เจ้าของภาพ ITU: International Telecommunication Union และผู้ผลักดัน 5G

โปรดติดตาม Disruptive EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ทำไมต้องปลูกผักแบบ ไฮโดรออแกนิค(ใจเกษตร EP4)

ไฮโดรออแกนิค Hydro-organic คือการปลูกแบบ Hydroponics ด้วยวิธี Organic เป็นการปลูกพืชไร้ดิน(ใช้น้ำแทนดิน) ด้วยสารอินทรีย์เท่านั้น


หลายประเทศในโลกกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ Aging Society ส่งผลให้กระแสการดูแลสุขภาพ ถูกให้ความสำคัญมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อน การออกกำลังกาย และการเลือกกินอาหารที่ดี เป็นต้น

เกษตรอินทรีย์ จะผลิตอาหารออแกนิค Organic Food เป็นการปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ โดยปราศจากสารเคมีใดๆ Chemical Free โดยการใช้อินทรีย์วัตถุ เช่น ซากพืช ซากสัตว์ มูลสัตว์ และรู้จักการใช้จุลินทรีย์ช่วยย่อยสลายอินทรีย์วัตถุ ให้กลายเป็นธาตุอาหารที่พืชต้องการ

พูดอีกอย่าง อาหารออแกนิค คือ อาหารที่ผลิตจากกระบวนการธรรมชาติ

ในอดีต ธาตุอาหารพืชมาจากดิน น้ำและอากาศ เมื่อเราผ่านยุคเกษตรกรรม และผ่านยุคอุตสาหกรรม กอปร ดินมีการเสื่อมสภาพ แร่ธาตุหลักของพืช จึงต้องมาจากการทำเหมืองแร่ ที่เรารู้กัน คือปุ๋ยเคมี N P และ K

ผู้ที่นิยมบริโภคอาหารออแกนิค เช่น ผักออแกนิค  ผลไม้ออแกนิค  ไข่ไก่ออแกนิค  ปลาออแกนิค บางคนมีความรู้ว่า
- ปุ๋ยเคมี ไม่ใช่สารพิษ ผักที่ปลูกแบบปราศจากสารพิษ เช่น ผักที่ปลูกในโรงปิด Plant Factory ยังคงใช้ปุ๋ยเคมี AB ที่มีธาตุอาหารหลัก NPK และ 13 ธาตุอาหารรอง ผู้กินจะได้สุขภาพดีเท่ากัน
- อาหารออแกนิคแท้ๆ จะแพงกว่า อาหารปราศจากสารพิษที่ใช้ปุ๋ยเคมี

พวกเขามีความรู้ แต่ที่ยังคงเลือกอาหารอาหารออแกนิคที่แพงกว่า เพราะไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพดีเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย
- ปฎิเสทสารเคมี โรงงานอุตสาหกรรม และเหมืองแร่
- ส่งเสริมการผลิตอาหารแบบ Circular Economy

ทำไมต้อง ออแกนิค คำตอบคือ เพื่อสุขภาพของเรา และสุขภาพของโลก

ไปต่อด้วย ทำไมต้อง ไฮโดรโปนิกส์ Hydroponic (การปลูกพืชไร้ดิน)
การปลูกพืชไร้ดินมีมาตั้งแต่ 400 ปีก่อน เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องใหม่
(ไฮโดร) มาจากคำว่า (น้ำ) ส่วน (โปนิกส์) มาจากคำว่า (แรงงาน) หรือทำโดย ร่ามคำเป็น "ปลูกโดยน้ำ" ปลูกโดยให้น้ำไหลผ่านรากพืช

น้ำที่ไหลผ่านรากพืช จะถูกผสมด้วยธาตุอาหารพืช(ปุ๋ย) ปุ๋ยที่นิยมใช้ผสมน้ำ คือ ปุ๋ย AB ซึ่งเป็นปุ๋ยเคมีที่มีแร่ธาตุสำคัญครบทั้ง 16 ชนิด

ยังมีระบบอื่นที่น่าสนใจ นั่นคือ แอโรโปนิกส์ Aeroponics เป็นการปลูกด้วยการพ่นหมอกใส่รากพืช (ออกแบบมาเพื่อ การใช้น้ำน้อยมากๆ)

ไฮโดรโปนิกส์บางระบบ มีการกรองน้ำที่ปุ๋ยเกิดตะกอน วนน้ำกลับมาใช้ใหม่ ผู้ออกแบบเคลมว่า เป็นระบบที่ใช้น้ำน้อยที่สุด (ใช้น้ำ <1% เมื่อเทียบกับปลูกในดิน)

อควาโปนิกส์ Aquaponics คล้ายกับไฮโดรโปนิกส์ ต่างกันเพียงธาตุอาหารใช้ขี้ปลาที่เลี้ยงแทนการใช้ปุ๋ย AB

นักวิจัยไทยได้ทดสอบการปลูกแบบอควาโปนิกส์ พบว่า ธาตุอาหารที่มาจากขี้ปลา ไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของผักที่ปลูก จำเป็นต้องเสริมด้วยปุ๋ยน้ำใช้พ่นทางใบ

อควาโปนิกส์ ถ้าปลูกได้โดยไม่ต้องเสริมด้วยปุ๋ยเคมีเลย อควาโปนิกส์ ก็จะเป็น ไฮโดรออแกนิค อีกรูปแบบหนึ่ง (ผมยังไม่เคยเห็นตัวอย่างจริงในไทย)

การปลูกแบบไฮโดรออแกนิค Hydro-organic คือ การพัฒนาจากไฮโดรโปนิกส์ โดยการหมักปุ๋ยอินทรีย์ แทนการใช้ปุ๋ย AB

สรุปการปลูกพืชไร้ดิน มีอะไรบ้าง
- Hydroponics คือปลูกโดยใช้ปุ๋ย AB ละลายในน้ำ ให้ไหลผ่านรากพืช
- Aeroponics คือปลูกโดยใช้ปุ๋ย AB ละลายในน้ำ แล้วพ่นหมอกใส่รากพืช
- Aquaponics คือปลูกโดยใช้ปุ๋ยจากน้ำใช้เลี้ยงปลา ให้ไหลผ่านรากพืช
- Hydro-organic คือปลูกโดยใช้ปุ๋ยปุ๋ยอินทรีย์หมัก ให้ไหลผ่านรากพืช

ทำไมต้อง ไฮโดร คำตอบคือ ปลูกไร้ดินควบคุมง่ายกว่า

สารไนเตรต มีทั้งในปุ๋ยอินทรีย์ และในปุ๋ยเคมี เช่นกันทั้งคู่ และมีสะสมทั้งในน้ำและอยู่ในดินปลูก ได้เช่นกันทั้งคู่ด้วย (ต่างกันที่ความเข้มข้น)

ถ้าไนเตรตสะสมในใบของผักมากเกินไป หากทานเข้าไปจะเป็นพิษ

การปลูกแบบไฮโดรฯ สามารถลดความเข้มข้นปุ๋ยได้ง่ายๆ เช่น ปลูกด้วยน้ำเปล่าก่อนเก็บเกี่ยว 3 วัน ก็จะไม่มีไนเตรตสะสมในผักกินใบแล้ว

สนใจการหมักปุ๋ยและสูตรปุ๋ยอินทรีย์ โปรดติดตาม ใจเกษตร EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

5 สิ่งที่ต้องเตรียมตัวตั้งแต่ยังเรียน (รายได้หลายช่องทาง EP9)

ต่อจากรายได้หลายช่องทาง EP ก่อนนี้ เพื่อสร้างโอกาส ให้เราเป็นผู้เลือกงานที่ดีที่สุดได้ ด้วยการพยายามจบสถาบันดีๆ เกรดสูงๆ (ถ้าเราทำได้)


EP นี้ ไม่ใช่แค่เรียนจบและเกรดดีๆ
มีข้อแนะนำอยู่ 5 สิ่งที่ต้องเตรียมตัว ในช่วงวัยเรียน

1) ภาษาอังกฤษ
มีหลายเหตุผลสนับสนุน ดังนี้
- Self Learning จะมีความสำคัญมาก เพราะในโลกอนาคต skill ต่างๆจะเปลี่ยนเร็วมาก และแหล่งความรู้ skill ใหม่ๆเกือบทั้งหมดเป็น ภาษาอังกฤษ
- ตำแหน่งและความก้าวหน้า ถ้าบริษัทมีคนเก่งพอๆกันหลายคน คนที่บริษัทจะเลือกให้เลื่อนตำแหน่ง คือคนที่เก่ง ภาษาอังกฤษ
- ถ้าอยากจะขายสินค้าให้ได้มากๆ โดยต้องติดต่อคนมากที่สุด นั้นคือติดต่อกับคนทั่วโลก ภาษาที่ผู้คนทั่วโลกใช้มากที่สุด ก็คือ ภาษาอังกฤษ

เราไม่ได้ฝึก ฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษ เพื่อจะสื่อสารกับแค่คนอังกฤษหรืออเมริกา แต่เราต้องใช้ภาษาอังกฤษ สื่อสารกับคนทั้งโลก

อย่ารอให้เรียนจบ แล้วค่อยเสริมใช้ภาษาอังกฤษ ควรใช้เวลาว่างจากการเรียน สอบ Certificate ต่างๆไว้ เช่น TOEIC, TOELF, IELTS เป็นต้น

2) เลือกสายอาชีพ ที่คิดว่าใช่
High School ในต่างประเทศ ครูจะให้นักเรียนเลือกสายอาชีพตั้งแต่มัธยม โดยเลือกเรียนวิชาเฉพาะที่จะส่งเสริมอาชีพที่เลือกให้เป็นเลิศ และไม่ต้องไปเสียเวลาเรียนวิชาที่เรียนไปก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ตลอดชีวิต

ทุกๆสิ้นปีจะมีการรีวิวผลการเรียนและความชอบของนักเรียนว่า สายอาชีพที่เลือกมาถูกทางแล้วหรือไม่ หรือควรทดลองเปลี่ยนสายอาชีพอื่น (ครูจะช่วยค้นหาตัวตนของนักเรียน)

การกำหนดเป้าหมาย(เลือกสายอาชีพ)ไว้แล้ว เป็นตัวกำหนดวิชาที่เราเลือกเรียน ถ้าไม่มีวิชานี้สอนในโรงเรียน เราก็ต้องค้นขวายคอร์สจากข้างนอก

และควรศึกษาเรื่อง Disruptive Technology เราควรเลือกสายอาชีพที่มีอนาคต เป็นที่ต้องการของตลาด หรืออีกคำที่นิยมใช้คือ Megatrends

3) สร้าง Portfolio ที่ดีเลิศ
ไม่ใช่แค่ชีวประวัติหรือความเป็นมาตัวเอง จะต้องรู้จักสะสมผลงานที่ดีเลิศ เช่น งานตัวแทนโรงเรียน งานประกวด ใบประกาศต่างๆ ผลงานที่เกี่ยวข้องกับงานสายอาชีพที่เราเลือก ตำแหน่งสำคัญตอนทำกิจกรรม เป็นต้น

4) Soft Skill
เรียนรู้และฝึกฝน การฟัง Active Listening, การนำเสนอ Excellent Presentation, การทำงานกันเป็นทีม Team Building, การโน้มนาว Influence, การแก้ปัญหา Problem Solving, สรุปใจความสั้น Short Brief เป็นต้น

5) Digital Skill
ไม่ใช่แค่เรียนรู้จักการใช้โปรแกรมในสำนักงาน เช่น Microsoft Office, Excel, Word, Power Point ซึ่งเด็กประถมหลายโรงเรียนก็เริ่มมีสอนกันแล้ว

แต่เราต้องรู้จักใช้ Digital Skill ให้ครอบคลุมให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ หรือ
ฝึกให้มี Digital Mindset เป็นคนที่ทันโลก Digitization (โลกในยุคนี้)

Digital Skill ที่ควรมี ดังนี้
- Communication Channel เช่น email, LINE, Skype, Conference
- Management เช่น Time plan, Task, Workflow, Collaboration
- Cloud เช่น share drive, file transfer, App/Platform
- Digitize document & Process เช่น Web, Blog, PDF file, data
- Programming / Coding มีความสามารถสื่อสาร ความต้องการของมนุษย์เชื่อมกับคอมพิวเตอร์หรือ AI ซึ่งต่อไป AI จะทำงานแทนคนมากขึ้นอีก

ไม่ต้องมี Digital Skill ทั้งหมด แต่ควรต้องรู้การใช้งานครอบคลุมทุกเรื่อง
แต่ในโลกอนาคต Digital Skill จะเป็นเรื่องพื้นฐานของคนทั่วไป

โปรดติดตาม รายได้หลายช่องทางใน EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

เส้นทางชีวิตผ่าน ภูเขาน้ำแข็ง 3 ลูก (รายได้หลายช่องทาง EP8)

จาก EP ที่แล้ว ผมได้แนะนำนักศึกษาไปว่า จบใหม่ๆ อย่าพึ่งรีบบาลานซ์ชีวิต แต่ให้รีบขนขวายหาความรู้ที่ทันสมัย พัฒนาตัวเอง เพิ่ม Profile


และเปรียบว่า ภูเขาน้ำแข็ง 3 ลูก แทนความต้องการของเราในแต่ละช่วงวัย หรือแทนความสำเร็จแบบไหนที่เราอยากจะเป็น เมื่อเรารู้แล้วว่า เราต้องการอะไร เราจำเป็นต้องรู้เบื้องหลังของความสำเร็จ เราต้องทำอย่างไร

70-80% ในการคัดเลือกใบสมัคร เพื่อเชิญเข้ามาสัมภาษณ์ จะดูที่ชื่อสถาบันการศึกษา คณะที่จบ และเกรดเฉลี่ยที่ได้ ส่วนที่เหลือจะพิจารณา เรื่องอื่นๆ เช่น รูปแบบ Resume หรือ CV, ภูมิลำเนา ฯลฯ
(ไม่นับรวม เพศ, ช่วงอายุ ที่แต่ละตำแหน่งนั้นต้องการแตกต่างกัน)

ในตอนสัมภาษณ์งาน จะพิจาณาเรื่อง การใช้ภาษาอังกฤษ การนำเสนอตัวเอง การฟังอย่างเข้าใจประเด็น ความสนใจในตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัคร และการดำเนินธุรกิจของบริษัท (ผู้ถูกสัมภาษณ์ จำเป็นต้องเตรียมตัว ทำการบ้านก่อนสัมภาษณ์)

แต่ 40-50% ก็ดูที่สถาบันฯ คณะที่จบ และเกรดเฉลี่ยอยู่ดี เพราะการคุยกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง ไม่ชัดเจนเท่าเกรด ที่ใช้เวลาสะสมมา 3-4 ปี

บริษัทใหญ่ อย่าง SCG, PTT มีการตั้งเกณฑ์ที่สูง เช่น มหาลัยของรัฐบาล และเกรด 3.5 ขึ้นไป เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า ถ้าเรียนดีเกรดสูง เราจะได้รับโอกาสเลือกงานดีๆที่เราต้องการได้มากกว่าคนอื่นๆ ดังนั้น ควรตั้งใจเรียน ขยันอ่านหนังสือ ตั้งแต่ในวัยเรียน

เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน อายุ 20ปี ต้นๆ ควรมุ่งเน้นประสบการณ์ทำงาน ความสำเร็จของงาน ตั้งใจเรียนรู้ทั้ง Soft Skill & Hard Skill มุ่งมั่น ขยัย อดทน

ตั้งเป้าให้มีความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงาน หากต้องทำงานในช่วงค่ำหรือในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ถ้างานนั้นเป็นงานสำคัญเร่งด่วน เราก็ต้องทำ

ทำให้บริษัทเห็นว่าเราเป็นคนเก่ง สู้งาน จะย้ายงานไปทำงานบริษัทอื่น ก็มีหลายบริษัทอยากรับเราเข้าทำงาน กล้าที่จะเปลี่ยนงาน เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่และเพิ่มประสบการณ์ให้ตัวเอง

เมื่อเข้าสู่วัย 30 ปีโดยประมาณ (แต่ละคนไม่เท่ากัน) ดูที่ความพร้อม ต่อไปก็เริ่มวางแผนการออม การลงทุน ขยายกิจการ บริหารทรัพย์สินต่างๆ วางแผนการใช้ชีวิต ดูแลให้เวลาครอบครัว รักษาสุขภาพ ใช้ชีวิตตามความฝัน

บางท่านอาจจะเก่งมาก ออมเงินได้ตั้งแต่เริ่มทำงาน หรือตั้งแต่ยังเรียน ไม่ต้องรอช่วงที่ 3 (วัย 30 ปี+)
คนส่วนใหญ่ฐานเงินเดือนเริ่มต้นทำงานยังได้น้อย ลำพังผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ก็จะไม่พอใช้อยู่แล้ว

ท่านผู้อ่าน อาจจะอยู่ช่วงวัยใดก็ได้ 40ปี 50ปี ก็ยังไม่สาย ถ้ายังคิดจะสู้
ที่ผ่านมาแล้ว "ก็ชังหัวมัน" ทดลองปรับเปลี่ยนในทางที่ดีที่ละน้อย มันจะค่อยๆมีอะไรดีๆขึ้นมาเอง

โปรดติดตาม รายได้หลายช่องทางใน EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

Disruptive ที่ไม่ใช่เพราะเทคโนโลยีก็มี (Disruptive EP3)


จาก Disruptive Technology EP ก่อนนี้ แบ่งได้ 5 กลุ่ม Technology ซึ่งมี 1) 5G
2) AI
3) IoT
4) Robotics
5) Cloud
ขอเพิ่มอีก 5 กลุ่ม (ซึ่ง 2 กลุ่มสุดท้าย ไม่ใช่เพราะเทคโนโลยี)

6) Digital Currency, Blockchain & FinTech
หมายถึงกลุ่ม Financial Technology ที่เติบโตและ Disrupt ธุรกรรมทางการเงินแบบเดิมอย่างรุนแรง ช่วยให้ผู้ใช้บริการได้รับความสะดวก รวดเร็ว และค่าบริการถูกมาก ส่วนบริษัทผู้ให้บริการก็ลดต้นทุนได้ จะลำบากก็แต่พนักงานของบริษัทผู้ให้บริการ เพราะถูก Technology แย่งงานทำ

อีกอย่างที่หลายๆคนพูดถึง คือสกุลเงินดิจิตอล ที่มีใช้กันแล้ว เช่น Bitcoin, Ethereum, Litecoin
และที่กำลังฮือฮา Libra by Facebook (มีผู้ใช้ Facebook 2.45 พันล้านคน) ซึ่งเปิดตัวมาอย่างยิ่งใหญ่ แต่ถูกสกัดโดยภาครัฐบาลทั้งสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป เพราะเกรง Libra ซึ่งบริหารจัดการโดยเอกชน จะทำลายอำนาจบริหารการเงินและการคลังระดับประเทศ

ตรงกันข้ามรัฐบาลจีน กำหนดยุทธ์ศาสตร์ชาติ จะเป็นผู้นำ AI ของโลกภายในปี 2030 ปัจจุบัน ได้พัฒนาไปไกลมากและเป็นสังคมไร้เงินสดแล้ว เอกชนจีนซึ่งสนับสนุนโดยรัฐบาล กำลังจะออกสกุลเงินดิจิตอล ในเร็วๆนี้

7) Advance Battery, EV, Autonomous Vehicles & Drone
หมายถึงกลุ่ม ขนส่ง (Transportation) เช่น
- Battery ที่บรรจุไฟครั้งเดียว รถวิ่งได้ไกลกว่าเติมน้ำมันเต็มถัง
- Self Driving Car รถขับเคลื่อนด้วยตัวเอง
- Hyperloop บริการขนส่ง ที่เร็วกว่าเครื่องบิน
- Drone เพื่อการใช้งานใรูปแบบต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ
- EV รถยนต์ไฟฟ้าแทนการเผาน้ำมัน เป็นต้น

8) 3D Printing, Advance Material, & genomics
หมายถึงกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่เข้าพวกกับ 7 กลุ่มแรกนัก เช่น
- 3D Printing เป็นการสร้างวัสดุเครื่องใช้ต่างๆ แทนที่แบบเดิม
- Advance Material เช่น ผลิตภัณฑ์นาโนเทคโนโลยี วัสดุพิเศษ ฯลฯ
- Genomics เช่น GMO, Bio Technology ต่างๆ

9) Consumer Behavior Change
หมายถึงกลุ่ม ที่ไม่ใช่เพราะ Technology แต่เป็นเพราะยุคสมัยเปลี่ยนไป พฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไปด้วย แต่มีการนำ Technology เข้ามาช่วย เพื่อการบริการที่ดีขึ้น เช่น
- บริการรถเช่า คนสมัยใหม่ไม่ยึดติดกับการเป็นเจ้าของรถ
- Food Delivery สะดวกกว่าทำอาหารกินเอง และเดินทางไปกินที่ร้าน
- Co-Working Space ช่วยให้การทำงานประหยัดและสะดวกกว่า
- Megacities การเพิ่มประชากรใน มหานคร

10) การปกป้องสิ่งแวดล้อม
หมายถึงกลุ่ม ที่มีความพยายามรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้นานที่สุด เมื่อพิสูจน์ได้ว่าพฤติกรรมบางอย่างส่งผลเสียต่ออนาคต จึงต้องเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น
- Renewable Energy เช่น แสงแดด ลม Biomass ฯลฯ
- เปลี่ยนมาบริโภคโปรตีนจากพืช และจากสัตว์ตระกูลแมลง
- ลดการบริโภคน้ำตาล และไขมันไม่ดี
- ลดหรืองดการใช้พลาสติก
- Zero Waste ขยะเหลือน้อยที่สุด
- Organic Food อาหารเกษตรอินทรีย์

โปรดติดตาม Disruptive EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ภูเขาน้ำแข็ง 3 ลูก มองคนอื่นที่ความสำเร็จ (รายได้หลายช่องทาง EP7)

ภูเขาน้ำแข็ง 3 ลูก แทนความต้องการของเราเอง 3 ช่วงเวลา หรือ 3 ช่วงวัย
โดยการมองไปที่ความสำเร็จของคนอื่น คนที่เราอยากจะเป็นเหมือนเขา


ภูเขาน้ำแข็ง มักจะถูกใช้เพื่อเปรียบเทียบให้ตระหนักถึงเบื้องหลัง ส่วนที่คนมองไม่เห็น เป็นส่วนที่จมอยู่ใต้ทะเล ซึ่งหลายคนไม่สนใจ (behind the scenes) แต่นั้นมันใหญ่กว่า สิ่งที่เรามองเห็นมากๆ (เบื้องหลังความสำเร็จ)

ภูเขาน้ำแข็ง 3 ลูก แทนความต้องการของเรา ในแต่ละช่วงวัย
แบบที่ 1. ช่วงเรียน เด็กยังมีความต้องการอยู่ไม่กี่อย่าง เรียนดี เกรดสูงๆ ก็ดีมากแล้ว ถ้าเป็นดาวเด่น เพิ่มกิจกรรม มีรางวัลประกวดด้วย ก็สุดยอดมากๆ

แบบที่ 2. เข้าสู่วัยทำงาน เกรดเรียนดี จะถูกใช้แค่ช่วงสมัครงาน แต่ผลงาน ตำแหน่ง ความก้าวหน้า อำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบ และที่สำคัญมาก ผลตอบแทนหรือฐานเงินเดือน เป็นตัวชี้วัดว่าใครเจ๋งที่สุด

แบบที่ 3. เมื่ออายุ 30ปีขึ้นไป หรือว่ามีครอบครัวแล้ว จำเป็นต้องบาลานซ์อะไรหลายๆอย่าง การงาน การเงิน ความก้าวหน้า ครอบครัว เพื่อนฝูง สังคม การยอมรับ สุขภาพ อิสระในการใช้ชีวิต เช่น ท่องเที่ยว ทำบุญ งานอดิเรก ฯลฯ และความมั่นคงในอนาคต เป็นความต้องการเพิ่มขึ้นมาจากแบบที่ 2

ที่มาของภูเขาน้ำแข็ง 3 ลูก เกิดจากผลสำรวจนักศึกษาวิศวกรรมหลายคณะ KMUTNB ในตอนที่ผมไปบรรยายพิเศษในวิชา Introduce to Engineering

ผมถามนักศึกษา 70 กว่าคนว่า ใครชอบแบบที่ 2 ทำงานมีรายได้สูงๆ หรือ
แบบที่ 3 มีงาน มีรายได้ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข

95% ของนักศึกษาเลือก แบบที่ 3 Work Life Balance
ผมรู้สึกได้ ถึงการหลงทาง ย้ำ... เป็นความเห็นส่วนตัว

จากประสบการณ์การทำงาน ผมเห็นและศึกษา เด็ก Gen Y ณ เวลานั้น เขาอายุ 20 ต้นๆ(เด็กจบใหม่) เขาเลือกใช้ชีวิตแบบที่ 3 Work Life Balance ในทันทีที่เริ่มชีวิตการทำงาน แบบว่าถ้าลาพักร้อน ลายาว หายไปเลย ติดต่อไม่ได้ ลูกค้า/งานค้าง ปล่อยวางได้ง่ายๆเลย

ณ เวลานั้น ผมไม่รู้ว่า ผิดหรือถูก ได้แต่ศึกษา Work Life Balance คืออะไร ทำอย่างไร ดีอย่างไร และแลกเปลี่ยนความรู้ มุมมอง จากกูรูมาหลายท่าน

กอปร ภาวะการณ์ในปัจจุบัน เรากำลังจะเข้าสู้สังคมผู้สูงอายุ หมายถึง ช่วงวัยเกษียณจะยาวขึ้น (ภาษาชาวบ้านคือ ตายยากขึ้น) แล้วเงินสะสมสำหรับเกษียณ จะพอมั้ย?

ผมสังเกตน้องๆหลายคน ผมยังไม่เคยเห็น คนที่ Work Life Balance ตั้งแต่เริ่มทำงาน แล้วชีวิตมีอิสระทางการเงินในตอนนี้
ผ่านไปหลายปี พวกเขายังคงต้องพึ่งรายได้จาก E: Employee ทางเดียว

สิ่งที่ผมแนะนำนักศึกษา ในช่วงเริ่มต้นทำงาน เป็นช่วงวัยที่ร่างกายของเราแข็งแรงที่สุด จึงเป็นโอกาสที่จะพัฒนาตัวเอง และยกระดับความสามารถในการทำงานหรือหารายได้ ดังนั้น แนะนำให้เลือกแบบที่ 2 ก่อน ในช่วงวัยที่ไม่เกิน 30 ปี

ถ้าเราเลือกแบบที่ 3 Work Life Balance ตั้งแต่เริ่มต้นทำงาน Mindset แบบนี้ จะสร้างนิสัยที่ขาดความทะเยอทะยาน หลงติดกับ Comfort Zone

อาจจะมีความสุขในการใช้ชีวิตในช่วงแรก เพราะภาระของเรายังน้อยอยู่ แต่เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน พึ่งมาคิดได้ทีหลัง จะปรับตัวยากกว่าตอนที่ยังเป็นเด็ก

โปรดติดตาม รายได้หลายช่องทางใน EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

เพื่อนเกษตรเฟรชวิลล์ฟาร์ม เกษตรอินโน#1 (ใจเกษตร EP3)

หลายคนอาจรู้จัก เพื่อนเกษตรเฟรชวิลล์ฟาร์ม Patt Garden สวนผักธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ขับเคลื่อนโดย อาจารย์ สัมพันธ์ พิพัฒน์วรการ ผู้ที่ถ่ายทอดความรู้เกษตรสมัยใหม่ มานานกว่า 5 ปี จนเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง


เริ่มจากความไม่รู้ หลงไปซื้อกิจการแปลงผักไฮโดรโปนิกส์จากเพื่อนบ้าน ยังไม่เอะใจว่า เขาลงทุนสูงมาก แล้วทำไมขายต่อถูกมากๆ ถึงเวลาตัวเองปลูกผักเติบโตสวยงามขึ้นมาแล้ว กลับหาผู้ซื้อไม่ได้ ก็ถึงบางอ้อเลย...

ผักเหลือเยอะ ก็ทั้งแจกทั้งแถม ซื้อผัก 2 ขีด แถม 1 โล จนเป็นที่รู้จักของชาวบ้านทั่วไป แม้ไม่ได้จบเกษตรมาก่อน อาศัยความเป็นวิศวกรอุตสาหการ ป.โท Construction Management เริ่มแก้ปัญหา ปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ

มีการเปิดสอนการปลูกผัก จีงมีรายได้ไม่ใช่แค่ขายผัก เพิ่มเป็นการขายอุปกรณ์ปลูกผัก เมล็ดพันธุ์ วัสดุปลูก ปุ๋ยแบบต่างๆ จุรินทรีย์ และไม่ใช่แค่ผัก มีทั้งเห็ดหลายชนิด แต่สินค้าที่ขายดีและโดดเด่น นั้นคือ ถั่งเช่า พัฒนาให้มีสินค้า ตั้งแต่เริ่มเพาะปลูก ยันเป็นแคปซูนพร้อมบรรจุภัณฑ์

ถือว่าเป็นเกษตรกรที่เปลี่ยนรูปแบบไปจากเดิม ที่เคยอยู่ใต้พ่อค้าคนกลาง ด้วยชื่อเสียง มีพัฒนาการมาโดยตลอด ก้าวทันสินค้าเกษตรที่เป็นกระแส จึงออกบูธแสดงสินค้าทั้งในห้างดังและงานแสดงสินค้าต่างๆ โดยไม่เสียค่าเช่า

สินค้าหลากหลายและเป็นที่นิยม มีผู้เข้ามาอบรมเกือบทุกสัปดาห์ ขายสินค้าทั้งที่ฟาร์ม ที่จัดงาน ขายผ่านออนไลน์ และงานที่ปรึกษาหลายแห่ง
อีกทั้งมีช่องทางสื่อออนไลน์ของตัวเอง
- เวปไซท์     www.freshvillefarm.com/
- YouTube:  FreshvilleFarm Channel, มีสมาชิก 7,230 ราย
- Facebook: เพื่อนเกษตรเฟรชวิลล์ฟาร์ม Patt Garden, มีผู้ติดตาม 302,219 คน
จึงมีรายได้ ถึงล้านบาทต่อเดือน แม้ช่วงเศรษฐกิจที่ยังไม่สดใส

"เกษตรอินโน" มาจากคำว่า Innovative Farmer ผม "ใจเกษตร" คิดคำนี้โดยตั้งใจให้ผู้อ่านที่สนใจจะทำเกษตร อยากให้ศึกษาเรียนรู้ จากไอเดียของเกษตรอินโน ผู้ที่คิดและทำสิ่งใหม่ที่สร้างคุณค่า เราควรนำสิ่งดีๆ มาปรับใช้ในแบบของเรา

อ.สัมพันธ์ ได้บอกกับผู้เข้าอบรมปลูกผักว่า ปลูกผักขาย ยังงัยก็เจ๊ง ปลูกกินเอง ปลูกเป็นงานอดิเรกพอได้ แต่ถ้าคิดจะปลูกพีชให้เป็นอาชีพ จะต้อง
1. ปลูกพืชให้เป็น ยา
2. ปลูกพืชให้เป็น อาหารเสริมสุขภาพ
3. ปลูกพืชให้เป็น ผลิตภัณฑ์ความงาม
4. เป็น Coaching (อย่างที่ อาจารย์ทำอยู่ตอนนี้)

กับลูกค้าที่ซื้อแคปซูน ถั่งเช่า ไปขายต่อ (สินค้านี้ขายดีกับผู้สูงอายุ) ให้เอาสินค้าไปขายให้ดีก่อน ให้มีลูกค้าประจำ ให้มีการซื้อซ้ำ ถ้าขายดีแล้วอยากลดต้นทุนโดยการผลิตเสียเอง สอนให้ปลูกง่ายมากๆ จะเรียนเมื่อไรก็ได้

ผมไปอบรมปลูกผักกับ อ.สัมพันธ์ ได้ทั้งประวัติย่อ แนวคิด และความรู้การปลูกผักมาหลายแบบ ที่น่าสนใจสุดๆคือ ไฮโดรออร์แกนิก
โปรดติดตาม ใจเกษตร EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

จ้างลูกชายอายุ 13 ปี วาดภาพงานเขียน (รายได้หลายช่องทาง EP6)

ขอเล่าเรื่องการว่าจ้างลูกชายคนเล็กชื่อ ข้าวปั้น อายุ 13 ปี เขาชอบวาดรูปด้วยดินสอ เรียนรู้การวาดรูปและพัฒนาฝีมือด้วยตัวเอง พ่อแม่ก็ไม่รู้จะสอนอะไร คือวาดไม่เป็น


ผมตั้งใจจะสอนเรื่องการเงินให้แก่ลูกๆ เพราะคิดเอาเองว่าโรงเรียนคงไม่ได้สอนเรื่องนี้ เห็นว่าเรื่องนี้มันจำเป็นสำหรับอนาคตของเขา

จึงเริ่มงานเขียนเรื่องการเงิน ซีรีย์ รายได้หลายช่องทาง พร้อมทำหลักสูตรเตรียมการสอนลูกทั้ง 2 คนพร้อมกันเลย
รอลูกชายคนโตปิดเทอมกลับมาจาก New Zealand ช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้

ปัญหาคือ ภาพประกอบงานเขียน จะเอามาจากไหน ค้นและ copy มาจาก google กลัวจะมีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ จึงคิดได้ว่า จ้างให้ลูกวาดรูปให้ดีกว่า

ปรกติเขาจะวาดบนกระดาษด้วยดินสอเท่านั้น คุณแม่ก็ส่งเสริมให้ลูกไปเรียนการใช้สีน้ำเพื่อเพิ่มทักษะ ฝีมือวาดรูปสีน้ำของเขาก็ดีขึ้น แต่ก็ไม่โดดเด่น เท่ากับการวาดรูปด้วยดินสอ

โจทย์ใหม่ ที่ผมตั้งให้ข้าวปั้น ต่อไปพ่อแม่จะ Support เฉพาะค่าเรียน และปัจจัยสี่เท่านั้น ถ้าอยากได้ของเล่นหรือเกมส์ ให้วาดรูปลงคอมพ์ ขายให้ผม รูปละ 200 บาท และขอด่วนด้วย ..นี่งานนะ ไม่ทำชิวๆ

งานทุกงานมีอุปสรรค ลูกชายพึ่งเรียนรู้การใช้โปรแกรมการวาดรูปบนคอมพิวเตอร์ ลืม save มั่ง กว่าจะได้ผลงานชิ้นแรก ก็ใช้เวลา 4-5 วัน

หลังจากที่เขาคุ้นเคยการใช้โปรแกรมวาดรูป ถ้าไม่มีการบ้าน จะใช้เวลาวาดแค่ชั่วโมงสอง-สามชั่งโมง ก็ได้ผลงาน 1 รูป (เขาจะทำงานช่วงวันหยุด หรือเลิกเรียนตอนเย็น)

หากว่าข้าวปั้น ไม่เข้าใจ/ไม่เคลียร์ เรื่องราวของรูปที่ต้องการให้วาดออกมา
เรา คือ นายจ้างและลูกจ้าง เราก็พูดคุยปรึกษาเรื่องงานกัน อีกหนึ่งข้อดีที่ พ่อลูกได้มีโอกาสคุยกันบ่อยขึ้น "คน Gen X กับ Gen Z หาเรื่องคุยกันยาก"

อุปสรรคใหญ่ ที่แก้ไขได้ยากมาก ข้าวปั้นมีสไตย์การวาดในแบบของเขาเอง นั้นคือแนว Dark Souls คือ " โหดและมืด "

ผลงานสี่ภาพแรก มืดตั้งแต่ภาพแรก จนภาพสุดท้าย (ยังไม่สว่าง สักรูป)
ผมเจรจา ขอให้ภาพที่ออกมา แบบสดใส หวานแหววได้มั้ยครับ ลูกชายบอก "จะลองดู" แต่ตอนนี้ก็ได้แต่รูปตามแนวทาง Dark ไปก่อน

ประโยชน์ที่ได้จาก Mission นี้ แม้จะออกมาแนว แต่ก็มีผลงานออกมาได้เรื่อยๆ ค่อยๆปรับปรุงทั้งงานเขียนและภาพประกอบต่อไป (ก่อนครบกำหนดเวลาโพสท์ก็ได้อีก 3 ภาพ)

ส่วนลูกชาย เขาได้เรียนรู้การวาดรูปบนคอมพ์ การวาดรูปเล่าเรื่องต่างๆแทนการวาดตามภาพในเกมส์ Dark Souls และที่สำคัญที่สุด เขาได้เรียนรู้การหารายได้ และการใช้เงินให้มีคุณค่า

ต่อไป เขาจะสามารถพัฒนาไปได้อีก 2 อย่าง คือ
1. รู้จักการหารายได้ จากการขายภาพวาดผ่านออนไลน์
2. เงินที่ได้ (ให้แบ่งก่อนนำไปซื้อของเล่น) ให้เขาได้รู้จักนำเงินไปลงทุน

Learning by Doing เรียนรู้จากการทำงาน เรียนรู้จากท่านผู้อ่าน
โปรดแนะนำ ติชมทั้งบทความและภาพประกอบได้เลยนะครับ ผมและลูกจะได้มีการพัฒนา

โปรดติดตาม รายได้หลายช่องทางใน EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2562

Disruptive Technology มีอะไรกันบ้าง (Disruptive EP2)

เป็นที่ยอมรับการพยากรณ์ของ McKinsey ประเมินว่า ในปี คศ. 2025 มีธุรกิจที่ใช้ Disruptive Technology จากทั่วโลก

จะสร้างมูลค่าทางการตลาด สูงหลาย Trillion US Dollar มีกูรู 2-3 ท่าน ได้อธิบายไปแล้ว ตามนั้น

ถ้าเช่นนั้น ผมขอลิสท์รายการใหม่ตามแบบที่ผมถนัด และอธิบายใหม่ในมุมมองของผม โดยขอจัดใหม่เป็น 10 กลุ่ม(รายการ) ซึ่งต่อไปจะเป็นกรอบของซีรีย์ Disruptive โดยบางเรื่องก็ไม่ใช่ New Technology แต่อย่างใด

1. 5G Network Provider หรือ Mobile Internet
ผมหมายถึง ผู้ให้บริการโครงข่ายมือถือ เหมารวมผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต และต่อไปอาจมีอินเตอ์เน็ตผ่านดาวเทียมด้วย เพื่อเพิ่มการเข้าถึงอินเตอร์เน็ต (Internet Access) ของประชากรโลกที่เหลือที่ยังขาดโอกาส

2. AI: Artificial Intelligence หรือ Automation of knowledge work
ผมหมายถึง ปัญญาประดิษฐ์ เป็นเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังมากๆ หากนำเข้ามาประยุกต์กับกระบวนการทำงาน ซึ่งปัจจุบันใช้ทั้งแรงงานมนุษย์ เวลา และทรัพยากรต่างๆ จะถูกแทนที่ด้วย Robotic Process Automation (RPA)

3. IoT: Internet of Things อันนี้ตรงกับ McKinsey
ปัจจุบัน IoT เฟื่องฟูมากๆ ในกลุ่มอุปกรณ์ที่เรียกว่า Wearable และถูกประยุกต์ใช้ครอบคลุมเกือบทุกอุตสาหกรรม พร้อมมีแนวโน้มที่เติบโตสูงมาก

4. Advanced robotics อันนี้ ก็ตรงกับ McKinsey
เกิดจาก Pain Point ของมนุษต์ ตั้งแต่การขาดแคลนแรงงาน การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ความต้องการการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ล้วนผลักดันให้เกิดการพัฒนาหุ่นยนต์ ใช้แทนแรงงานมนุษย์

5. Cloud technology อันนี้ ก็ตรงกับ McKinsey
Cloud เกิดขึ้นมานานพร้อมๆกับยุคเริ่มต้นใช้อินเตอร์เน็ต แต่ด้วยการพัฒนา IT ในหลายๆด้าน พร้อมการส่งเสริมด้วยโครงข่าย ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ปัจจุบันมีความเร็วสูงขึ้นเป็นพันเท่าจากอดีต จึงผลักดัน Cloud มีบทบาทสำคัญ และส่งเสริมการทำงาน 4 รายการแรก

ข้อที่ 1 ถึง ข้อที่ 5 เกี่ยวข้องกันทั้งหมด (คือ เทคโนโลยีถูกใช้พร้อมกัน) แต่ในบาง Application อาจไม่มี Robotic หรือไม่มีกลไก mechanics
แต่ Network + AI + IoT + Cloud แทบแยกกันไม่ออกเลย คือถูกประยุกต์ใช้หลายเทคโนโลยีเป็นระบบเดียวกัน

Disruptive มีอีก 5 กลุ่ม ผมขอยกไป Disruptive EP ต่อไป โปรดติดตามได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2562

สอนการเงินลูก ตั้งแต่เขายังเด็ก (รายได้หลายช่องทาง EP5)

ขอแนะนำว่า พ่อแม่ควรปูพื้นฐานการเงินง่ายๆให้แก่ลูกๆ เช่น รายรับ รายจ่ายในครอบครัว


แล้วค่อยๆเพิ่มการบริหารจัดการด้ารการเงิน ไปที่ละน้อย ให้ลูกๆได้ซึมซับตั้งแต่ยังเด็ก
อย่าปล่อยให้ลูกตัวเอง ออกไปเผชิญชีวิตช่วงเริ่มต้นทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ ด้วยความรู้ทางการเงินเท่ากับศูยน์ ให้พวกเขาเสียเวลาลองผิดลองถูก

พ่อแม่ในสังคมไทย ได้แต่สั่งสอนลูกๆ ให้รู้จักการประหยัด (ประหยัดอย่างเดียว ไม่ได้ทำให้รวย) แถมยังไม่ได้อธิบายเหตุผลว่าทำไมต้องประหยัด เช่น ไม่ได้ทำตัวอย่างที่ดีให้ดู อาจตรงกันข้าม ตัวเองกลับฟุ่มเฟือยไม่รู้ตัว ทำตัวอย่างที่ไม่ดีให้ลูกเห็น คำสอนให้ประหยัดด้วยวาจา จึงไม่เกิดผลดี

ในบางครอบครัวที่มีปัญหาเรื่องการเงิน ลูกๆต้องช่วยกันทำงานหาเงิน เพื่อช่วยจุนเจือครอบครัว กลับกลายเป็นโอกาสให้ลูกได้บทเรียนที่ดี เมื่อเขาออกไปทำธุรกิจของเอง มักจะประสบความสำเร็จ เพราะถูกปูพื้นฐานมาตั้งแต่ยังเด็ก

หากเราเป็นพ่อแม่ที่ไม่มีปัญหาเรื่องการเงิน เลี้ยงลูกได้โดยไม่เดือนร้อน ไม่ใช่แค่ส่งเสริมเขาเรียนหนังสืออย่างเดียว แต่เราควรเพิ่มทักษะการเงินให้แก่ลูกๆด้วย จะเป็นการดีต่อตัวพวกเขาเองในอนาคต

เริ่มจากง่ายๆ เลย "การเงินในครอบครัว" มีดังนี้
1. อธิบายโครงสร้างรายได้ ในครอบครัวทั้งหมด (เฉลี่ยต่อเดือน) เช่น
- เงินเดือนพ่อ เงินเดือนแม่
- รายได้จากการลงทุน เช่น ให้เช่า เงินปันผล ดอกเบี้ย และอื่นๆ
ถ้าเพิ่มเติม ประมาณการวันสิ้นสุดรายได้ และอัตราเติบโตรายได้ จะดีมากๆ

2. โครงสร้างรายจ่าย ในครอบครัวทั้งหมด (เฉลี่ยต่อเดือน) เช่น
- ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนสินค้าต่างๆ
- ค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าทรัพย์สิน (ถ้ามี)
- ค่าจ้างแม่บ้าน ค่าจ้างคนงาน (ถ้ามี)
- ค่าน้ำปะปา ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ ค่ารายเดือนบริการต่างๆ
- กลุ่มค่าใช้จ่าย เดินทาง อาหาร สินค้าอุปโภค เสื้อผ้า ท่องเที่ยว ฯลฯ (แสดงตัวเลขประมาณการเป็นกลุ่มๆ)
- ค่าเทอม ค่าชุดนักเรียน ค่าเดินทางไปเรียน ต้นทุนทางการศึกษาต่างๆ
- ภาษีรายได้ ประกันสังคม
- เงินออม และเงินลงทุน เช่น กองทุนสำรองฯ LTF, RMF ฯลฯ

3. หนี้สินในครอบครัว ผ่อนเดือนละเท่าไร ดอกเบี้ยกี่% เงินต้นคงเหลือ ถ้าไม่โปะเงินต้นเลย อีกกี่ปีจะผ่อนหมด อธิบายให้เห็นภาพว่า การผ่อนแต่ละเดือนทรัพย์สินจะค่อยๆเพิ่มเป็นส่วนของเรา หรือหนี้ลดลง และการใช้ประโยชน์ในช่วงที่ผ่อน เทียบกับถ้าเราต้องเช่าจากผู้อื่น

4. การออมและการลงทุนในครอบครัว ออมเดือนละเท่าไร กำไร/ขาดทุนเท่าไร ปันผลกี่% อัตราการเติบโต โครงสร้างหรือพอร์ทการลงทุน เช่น กองทุน/หุ้น/ทองคำ/เงินสด เปรียบเทียบข้อดี/ข้อเสีย

5. ทรัพย์สินต่างๆที่มีอยู่ เช่น บ้าน คอนโด ที่ดิน รถยนต์ ระบุมูลค่า การใช้ประโยชน์ และค่าใช้จ่ายบำรุงรักษา เป็นต้น
หากมีธุรกิจครอบครัว ให้อธิบายมูลค่าธุรกิจ ประมาณการรายได้ รายจ่าย กำไร ที่มาของรายได้ ปัจจัยธุรกิจ เป็นต้น

ข้อมูลต่างๆ ควรทำเป็นทั้งตารางตัวเลขและกราฟ ไม่ต้อง Breakdown จนละเอียดเกินไป แจกแจงเฉพาะเป็นกลุ่มหลักๆ ให้ลูกๆเห็นภาพ
1.รายได้ 2.รายจ่าย 3.หนี้สิน 4.การออม/ลงทุน 5.ทรัพย์สิน

ตัวเลขจะทำให้เขาเข้าใจว่า เรื่องการเงินเป็นเรื่องสำคัญ เงินเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิต เขาจะมีความเห็นใจพ่อแม่ที่ต้องทำงานหาเงิน แล้วจะรู้จักใช้เงินอย่างมีคุณค่า เป็นการปลูกฝังอุปนิสัยการบริหารจัดการด้านการเงินที่ดีในอนาคตของเขา

ต่อไป เขาจะอยากทำงานหาเงินเอง แม้ว่ากำลังเรียนอยู่ ก็จะกำหนดเป้าหมายตัวเอง ได้เร็วกว่าเด็กที่ไม่เข้าใจเรื่องการเงิน (หรือไม่กำหนดมั่วซั่ว ตามความเพ้อฝัน)

ปัญหาคือ ตัวพ่อแม่เองยังไม่รู้จักทำตัวเลขภาพรวม การเงินภายในครอบครัวเลย

ขอจงเชื่อมั่นตัวเองว่า ทุกๆความรู้ ทุกๆความถนัด เราสามารถเรียนรู้กันได้ ฝึกฝนกันได้ หรือจงเป็นคนที่พร้อมพัฒนาตัวเองได้เสมอ Re-Skill & Up Skill (ทำเพื่อลูก เราต้องสู้)

การสอนลูก หรือสอนใครๆ คือการทบทวนความรู้ของตัวเองให้เก่งขึ้น
โปรดติดตาม รายได้หลายช่องทางใน EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

ปลูกข้าวแบบจีน กรณีศึกษาที่ไทยต้องตามให้ทัน (ใจเกษตร EP2)

เรื่องเล่าทริปดูงานที่จีน ในบ่ายวันที่ 17 ตุลาคม 2562 ณ เมือง Suzhou จากผู้ใช้ Facebook ที่ใช้ชื่อว่า Kalaya Joukhom


หลังอาหารกลางวัน ก็เดินทางไปดูการเพาะปลูกข้าว และเลี้ยงสัตว์ ที่ WuQiu Village in GuLi Town, Changshu สิ่งที่พบคือ ที่นี่เขาทำนาแปลงใหญ่ มีนายทุนเป็นผู้ลงทุนปลูกข้าว เรียกว่าเป็น วิสาหกิจชุมชน

"นายทุน"ทำการเช่าที่นาจากชาวนาแล้วก็จ้างชาวนาทำนา ดังนั้นชาวนาจะได้ผลตอบแทนสองอย่างคือ ค่าเช่านา กับค่าจ้างทำนา

การปลูกข้าวหรือพืชผลทางการเกษตรอื่นๆ ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุน ทั้งจากรัฐบาลกลาง และรัฐบาลท้องถิ่นในหลายๆเรื่อง

เช่น รัฐบาลจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยทางการเกษตรให้ 85% ส่วนที่เหลือ 15% เกษตรกร หรือนายทุน (ในนามวิสาหกิจชุมชน) เป็นผู้จ่ายเอง

ตามที่สอบถาม ได้ความว่านายทุนต้องซื้อประกัน เพราะต้องลงทุนทำนาด้วยเงินจำนวนมาก การซื้อประกันภัย (เพิ่มต้นทุน แค่นิดเดียว) เพื่อแลกกับการรับประกันความเสี่ยงในการลงทุนทั้งหมด

นอกจากนี้รัฐบาลยังสนับสนุนสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น การทำถนนลาดยาง และระบบน้ำ ถึงแปลงนาหรือแปลงเพาะปลูกของเกษตรกรทุกราย รัฐบาลมองว่า ถ้าการขนส่งสะดวกจะทำให้เกษตรกรใช้ประโยชน์ที่ดินได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

การลงทุนของนายทุนในที่นาแปลงใหญ่ จึงมีการใช้เครื่องจักรที่ทันสมัย ทุกกระบวนการผลิต เริ่มตั้งแต่เพาะปลูก-จนถึงเก็บเกี่ยวเลยทีเดียว
รวมถึงการป้องกันและกำจัดศัตรูพืช มีการจัดทำเครื่องดักแมลง ส่วนแปลงนา มีการจัดคันนาแต่ละแปลงที่เป็นอย่างระเบียบ มีทำท่อส่งน้ำเป็นท่อคอนกรีต และคันนาแต่ละแปลงยังเป็นรางน้ำคอนกรีตด้วย

มีการทดสอบเปรียบเทียบระหว่างแปลงปลูกข้าวที่มีการใส่ปุ๋ยเคมีกับไม่ใส่ปุ๋ยเคมี ข้าวในนาที่ปลูกสวยงามมาก ไม่มีวัชพืชให้เห็นแม้แต่ต้นเดียว ที่นี่มีการเลี้ยงสัตว์ในนาข้าวด้วย เช่น ปู กุ้ง ปลา และกบด้วย

ระบบประกันภัยทางการเกษตร บริษัทประกันภัยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย (Smart Farming) เข้ามาใช้ เช่น การนำระบบโดรนมาสำรวจวาดแปลงที่รับประกันภัย และสำรวจพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย

คล้ายกับแบบของไทยเรียกว่า ประเมินความเสียหายตามแบบ กษ 01 และ 02 แต่เราใช้คนสำรวจ และบริษัทประกันฯนำระบบ AI เข้ามาใช้ด้วย
การประกันภัย มีทั้งการประกันผลผลิตที่ได้รับความเสียหาย ประกันรายได้ รวมถึงประกันเครื่องจักรทางการเกษตร (มีประมาณ 30 กว่าแบบ)

เกษตรกรสามารถเลือกซื้อประกันภัยกับบริษัทใดก็ได้ แต่ต้องอยู่ในเงื่อนไขของภาครัฐฯ จึงจะได้รับการสนับสนุนค่าเบี้ยประกันภัย 85% ตามที่กล่าว

ความเห็นส่วนตัวของใจเกษตร เป็นการทำงานร่วมกัน แบ่งปันผลประโยชน์ Win Win Win ชาวนา นายทุน และรัฐบาล

1. ชาวนามีรายได้ที่แน่นอนจาก ค่าเช่านา และค่าจ้างทำนา
- ที่ดินยังคงเป็นของชาวนา รักษาอาชีพเดิมได้ในบ้านของตัวเอง
- ชาวนาพัฒนาต่อยอดได้ เช่น มีเครื่องจักรให้เช่า มีบริการเสริมต่างๆ

2. นายทุน มีเงินลงทุน เข้าถึงเครื่องจักรฯ เทคโนโลยีหรือ Smart Farming ซึ่งจำเป็นสำหรับเกษตรสมัยใหม่ อีกทั้งเข้าถึงตลาดได้ดีกว่ารายย่อย มีรัฐบาลช่วย ต้องพร้อมทุกอย่างแบบนี้ จึงจะแข่งขันกับเกษตรกรทั่วโลกได้

ในอดีต นายทุน คือคนที่ทำนาบนหลังชาวนา แต่ในยุค Digitization
- ชาวนา หรือเกษตรกรรายย่อย สามารถพัฒนาเป็น เกษตรกรรายใหญ่ หรือเป็นนายทุนได้ หากสะสมทุนเพียงพอ มีความชำนาญในเทคโนโลยี และเข้าถึงตลาดจากการเรียนรู้จากนายทุนคนเดิม

3. รัฐบาลหลายประเทศ ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวนมากช่วยเหลือเกษตรกร เพราะเป็นอาชีพที่ต้องแข่งขันกับกลไกราคาตลาดโลก หากเรายังคงช่วยเหลือแบบให้เปล่า ประกันราคา หรือชดเชยต่อไร่
แต่ไม่เปลี่ยนวิธีการทำเกษตรให้ได้กำไร เราก็จะซ้ำวนอยู่กับ ประชานิยม

บริษัทประกันภัย เป็นทั้ง Auditor แทนรัฐบาล (ไม่มีใครขายประกันมั่วๆแบบไม่ตรวจสอบความเสี่ยง) ถ้าความเสียหาย เช่น ภัยธรรมชาติ ราคาตกต่ำ ฯลฯ รัฐบาลก็ไม่ต้องจ่ายชดเชยให้เกษตรกรแบบเต็มๆ

สนใจเรื่องการทำเกษตร โปรดติดตาม ใจเกษตร EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ใครที่เราต้องแคร์มากที่สุด เพื่อที่จะสร้างรายได้จากเงินสี่ด้าน (รายได้ EP4)

รายได้หลายช่องทาง EP4 เรามาพิจารณา ใคร?ที่เราต้องแคร์มากที่สุด หรือเราต้องให้ความสำคัญเขามากๆ ในการหารายได้ในแต่ละด้าน


E: Employee มนุษย์เงินเดือนทุกๆคน ต่างก็ต้องการ เงินเดือนสูงๆ มีความก้าวหน้า ได้รับการยอมรับนับถือ มีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี ฯลฯ
นั้นเป็นความต้องการฝ่ายลูกจ้าง (เป็นสิ่งที่เราได้รับ)

"ให้ก่อน เพื่อที่จะรับ" Give & Take เราต้องทำงานเพื่อตอบสนองความต้องการของ เจ้าของธุรกิจ (Boss)
- ถ้าเป็นบริษัทขนาดเล็ก เราต้องเข้าใจว่า เถ้าแก่ อยากได้อะไร
- ถ้าเป็นบริษัทขนาดใหญ่ เราต้องเข้าใจว่า ผู้ถือหุ้น/ผู้บริหาร อยากได้อะไร
- ถ้าเป็นข้าราชการ เราต้องเข้าใจว่า รัฐบาล/กระทรวง/กรมที่สังกัด มีนโยบาย มีพันธกิจ มีหน้าที่อะไร

เจ้าของธุรกิจทุกคน ก่อตั้งธุรกิจของตัวเองขึ้นมาเพื่อหากำไร
- กำไร       มาจาก -> รายได้ หัก ค่าใช้จ่าย
- รายได้     มาจาก -> การซื้อของลูกค้า
- ค่าใช้จ่าย มาจาก -> การดำเนินงาน และต้นทุนสินค้าหรือบริการ

ถ้าเราทำงานอยู่ส่วนรายได้ ก็พยายามเพิ่มรายได้ เพิ่มยอดขาย เพิ่มลูกค้า
ถ้าเราทำงานอยู่ส่วนค่าใช้จ่าย ก็พยายามลดค่าใช้จ่าย เพิ่มคุณภาพสินค้า/บริการ ง่ายๆเลย พยายามทำทั้งสองอย่าง กำไรก็สูงขึ้น

S: Self Employed กิจการส่วนตัว จะรอดหรือรุ่ง ขึ้นอยู่กับรายได้ รายได้ก็มาจากการซื้อของลูกค้า (Customers)
ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการ ลูกค้า คือคนที่คุณต้องแคร์เขาให้มากที่สุด

เริ่มตั้งแต่ลูกค้าของคุณเป็นใคร (เอาให้ชัดไปเลย) เป็นคนกลุ่มไหน ชายหรือหญิง ช่วงอายุเท่าไร อยู่ที่ไหน

ลูกค้ามีความต้องการอะไร มีพฤติกรรมแบบไหน ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร

ลูกค้ามีฐานะแค่ไหน ซื้อบ่อยมั้ย ชอบซื้อช่วงไหน อะไรที่ทำให้ตัดสินใจซื้อ

ลูกค้าถูกใจสินค้าและบริการของเรามั้ย ชอบตรงไหน ต้องแก้ไขจุดใด

หลายคนออกมาทำธุรกิจส่วนตัว เพราะรักในสิ่งที่ทำ แล้วมาตามหาลูกค้าที่หลัง โดยหวังว่าจะมีคนที่ชอบเหมือนตัวเอง
นั้นแสดงว่าคุณแคร์ตัวเอง มากกว่าลูกค้า

B: Business ธุรกิจจะถูกขับเคลื่อนไปได้ด้วยพนักงานทุกคุณ (Team) เจ้าของธุรกิจทำเองไม่ได้ ต้องจ้างคนที่เก่งกว่าในแต่ละด้านมาทำงานแทน

มีหลายคนโพสท์ข้อความ "อย่าหวังให้ ลูกน้อง ต้องทุ่มเทเหมือน ผู้บริหาร" หรือ "อย่าหวังให้ ลูกจ้าง คิดให้เป็นเหมือน นายจ้าง" มีต่ออีก...
เป็นการแชร์ความคิดเห็นที่ ลบและแคบ เราไม่ควรเชื่อตาม

พนักงานและผู้บริหาร ลูกจ้างและนายจ้าง เป็นการรวมตัวกันเพื่อทำธุรกิจแบ่งหน้าที่กัน พึ่งพาอาศัยกัน ดูแลซึ่งกันและกัน

บางองค์กรมีการทำ Sustainability นอกเหนือจากทำกำไรในธุรกิจ ดูแลซึ่งกันและกัน ยังมีความพยายามช่วยเหลือหรือปกป้อง สังคม สิ่งแวดล้อม ผลประโยชน์ประเทศชาติ สร้างความยั่งยืนทั้งระบบ

คนที่เราต้องแคร์มากที่สุดของ E & B นั้นตรงกัน เพียงแต่อยู่กันคนละด้าน
E พนักงานบริษัท ต้องแคร์ B เจ้าของธุรกิจ โดยช่วยบริษัททำกำไร
B เจ้าของธุรกิจ ต้องแคร์ E พนักงานบริษัท โดยดูแลในสิ่งที่เขาต้องการ

บริษัทที่มีความผูกพันธ์พนักงานสูง (High Employee Engagement) ก็จะเป็นบริษัทที่ทำกำไรได้สูงขึ้นตาม Engagement ไปด้วย (กำไรสูงกว่า เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นที่ Engagement ต่ำ และอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน)

I: Investment การลงทุนเป็นเรื่องระยะยาว เราต้องรู้จักอดออม ต้องมีทั้งความอดทน มีวินัย มีความรู้ทางการเงินด้วย

และต้องสร้างประสบการณ์การลงทุน โดยยอมเสี่ยงที่จะพลาดขาดทุน เพื่อต่อไปจะได้ไม่พลาดอีก แล้วเราลำบากลงทุนในตอนนี้ไปเพื่อใคร?

ขอให้มองไปในอนาคต
การขาดรายได้จากทั้ง E, S & B มีความเป็นไปได้ทั้งหมด

ถ้าเราเป็น E มนุษย์เงินเดือน ต้องมีสักวันที่เราเกษียณทำงานไม่ได้เหมือนเดิม หรือบริษัทที่ทำอยู่ถูก Disrupt ต้องปิดกิจการไปกระทันหัน หรือถูกปิดเฉพาะส่วนที่ AI, Robotic หรือใช้เทคโนโลยีแทนคน

ถ้าเราเป็น S เจ้าของกิจการ เหมือนกันเลย ต้องมีสักวันที่เราทำงานไม่ได้เหมือนเดิม หรือกิจการของเราถูก Disrupt ปรับเปลี่ยนไม่ทันโลก

อย่าว่าแต่กิจการเล็กๆ ธุรกิจขนาดใหญ่ๆ B มีอายุเป็นร้อยปี ถูกธุรกิจใหม่ หรือ Startup เข้ามาแย่งตลาด มีตัวอย่างให้เห็นอยู่มากมาย

การลงทุน จึงเป็นคำตอบสำหรับ ตัวคุณเองให้อนาคต (You in the future)

ถ้าคุณยังคงมีรายได้จากช่องทางอื่นๆอยู่แล้ว รายได้จากการลงทุน ไม่ควรนำมาใช้จ่ายเลย  ควรนำไปลงทุนเพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อยๆ

โปรดติดตาม รายได้หลายช่องทางใน EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com

วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2562

Disruptive Technology วิกฤต หรือ โอกาส (Disruptive EP1)

เรื่องการเงินและการพัฒนาตัวเอง เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสนุก เหนื่อยล้า เพราะต้องชนะตัวเอง วันแล้ววันเล่า แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในการใช้ชีวิต ผมจึงตั้งใจเขียนเรื่องนี้ก่อน เพื่อเตรียมจะถ่ายทอดให้ลูกๆได้ซึมซับตั้งแต่ยังเด็ก

เรื่องทำเกษตร เป็นเรื่องที่แสนสนุกและสดชื่นอยู่กับธรรมชาติ ก่อนนั้นผมก็แค่ปลูกอะไรเล่นๆ พึ่งจะมาทำเกษตรจริงจัง หวังเป็นรายได้ได้แค่ 2-3 ปีเอง

ส่วนเรื่อง Disruptive Technology นี้ ตั้งแต่เรียนจบแล้วทำงานเป็นวิศวกร เกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด ยังไม่เคยออกห่าง มากว่า 20 ปีแล้ว

ถ้าผมจะไม่เล่า ไม่แชร์เรื่องนี้ Disruptive Technology นี้ ก็คงจะไม่ได้ ซึ่งตัวเองใช้เป็นอาชีพ สร้างฐานะและดูแลครอบครัวด้วยเรื่องนี้มาโดยตลอด

"Disruptive" คำนี้ โดนมากๆ จากประสบการณ์การทำงาน เกือบทุกบริษัทฯ ที่ถูก Disrupt ธุรกิจทั้ง เจ๊ง ปิด แปลงสภาพ มาทั้งหมด เป็นไปตามกฎ "ไตรลักษณ์" เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

เริ่มด้วยบริษัทแรก และต่อๆมา
- TT&T โทรศัพท์พื้นฐาน เจ๊ง ปิด เพราะถูก Disrupt ด้วยโทรศัพท์ 2G
- Iridium โทรศัพท์ดาวเทียม LEO เจ๊ง แปลงสภาพ เพราะถูก Disrupt ด้วยโทรศัพท์ 2G ภาคพื้นดิน (Terrestrial Mobile Mobile)
- RTS โทรศัพท์ทางไกลชนบท แปลงสภาพ ถูก Disrupt ด้วยโทรศัพท์  2G
- Urmet โทรศัพท์หยอดเหรียญ แปลงสภาพ ถูก Disrupt ด้วยโทรศัพท์ 2G
- ACeS โทรศัพท์ดาวเทียม GEO (ยังไม่เข็ด) เจ๊ง ปิด เช่นกัน เพราะถูก Disrupt ด้วยโทรศัพท์ 2G
- Hutch (BFKT) โทรศัพท์มือถือ 2.5G ถูกแปลงสภาพ ถูก Disrupt ด้วยโทรศัพท์ 3G

เชื่อแล้วหรือยังครับว่า "มันโดน" ผมโดน Disrupt มาเต็มๆหลายครั้ง เพื่อความอยู่รอด จึงต้องพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ เช่น การเงิน การตลาด และอื่นๆ

เข้าใจแล้วนะครับ ผมนะรู้ซึ้ง ซึ้งถึงการถูก Disrupt มีประสบการณ์ตรง 555

สำหรับที่ทำงานปัจจุบัน ก็มีหลายบริการและเทคโนโลยีที่ถูก Disrupt เช่นกัน เพียงแต่ว่า เจ้าของ เปลี่ยนเทคโนโลยีได้ทันโลก

พูดง่ายๆ คือ Disrupt ตัวเอง ย่อมดีกว่าที่จะให้บริษัทอื่นมา Disrupt

Disruptive Technology คือ นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ ที่เข้ามาสร้างมูลค่าทางการตลาด และเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้เลิกใช้ของเดิม

มันจะเป็น "วิกฤต" ถ้าคุณอยู่เฉยแบบเดิมๆไม่เปลี่ยนตัวเอง สักวันจถูกคนอื่นเปลี่ยน หรือถูก Disrupt แต่ถ้ารู้จักเรียนรู้สิ่งใหม่ พยายามใช้เทคโนโลยีแทนที่แบบเดิมๆ จะกลายเป็น "โอกาส" ช่วยให้ลดต้นทุน และเพิ่มรายได่

Disruptive จะมีอะไรบ้าง และมีผลกระทบกับเราอย่างไร
โปรดติดตาม Disruptive EP ต่อไปได้ที่
Blockdit: www.blockdit.com/worklifewinwin
Blogger: http://worklifewinwin.blogspot.com